21 พฤศจิกายน 2555

คุณหมอของเรา [15th]


กินยามาได้ซักพักนึง ก็เหลือบมองยาในซอง ทำไมมันเหลือน้อยแปลกๆ
หยิบบัตรนัดมาดู ปรากฎว่ายาจะหมดก่อนวันนัดตั้งหลายวัน
เลยโทรเข้าไปที่แผนก คุณพยาบาลก็นัดใหม่ให้เป็น

จันทร์ ที่ 12 พฤศจิกายน 2555

ถึงโรงพยาบาลแต่เช้า พร้อมกับทำใจว่าคงต้องรอนานมากอีกแล้ว
เพราะเปลี่ยนวันนัดแบบนี้
รีบขึ้นไปยื่นบัตร ชั่งน้ำหนักให้เรียบร้อย แล้วลงมาหาอะไรกิน
กะว่าจะขึ้นไปเก้าโมงตรง เพราะปกติ คุณหมอจะมา 9.30 น.
แต่ก็เดินไปเดินมาจนเบื่อตึกใหม่แล้ว ไม่มีอะไรตื่นตาตื่นใจอีก
เลยขึ้นไป ปรากฎเห็นคุณหมอมาแล้ว โอ้ว พระเจ้าจอร์จ งงมาก
แถมยังไม่ทันนั่ง คุณพยาบาลก็เรียก

วิ่งตามหลังคุณหมอเข้าห้องไปตั้งแต่ยังไม่เก้าโมงเช้า
ก็เท่ากับกินยาใหม่มาประมาณ 11 วัน
รายงานผลให้คุณหมอฟัง เรื่องอาเจียน กินอะไรไม่ลง
แต่สบายๆ ชินแล้ว และมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ หนักแค่ช่วงแรกๆ
แถมไม่มีอาการอื่นเลย ไม่เหมือนกับกินยาก่อนหน้านี้
ที่จัดเต็มทุกระบบในร่างกาย

คุณหมอถามเรื่องการนอน บอกว่าการนอนเป็นเรื่องสำคัญ
เป็นตัวชี้วัดอย่างนึง ว่ายาได้ผลหรือไม่ได้ผล
เราก็บอกว่า นอนดีขึ้นนะ เพราะเรามีปัญหาเรื่องนอนมาก
ขนาดเหนื่อยมากๆ หรือ น็อครอบแล้ว ยังนอนไม่หลับ
เหมือนคนหลับไม่เป็นยังไงยังงั้น ก็บอกคุณหมอไป
หลังกินยาได้ซักพัก การนอนดีขึ้น มีอาการง่วงแบบชาวบ้านเค้า
ก่อนหน้านี้ จะหลับก็เพราะร่างกายไม่ไหว น็อคไปเอง
แต่..เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับยาตัวใหม่ทั้งหมดรึเปล่า
เราไม่ได้กินยาตัวอื่นช่วยให้หลับ แต่ว่ากลับจากโรงพยาบาลคราวที่แล้ว
ก็เป็นหวัดด้วย เป็นหวัดแบบงอมเลย นอนได้เพราะป่วยรึปล่าวก็ไม่รู้

แล้วก็บอกคุณหมอเรื่องความคิดฆ่าตัวตายที่เข้ามาบ่อยๆ
ที่บอกคุณหมอเพราะคิดว่า มันควรต้องบอก
มันมีความคิดแว๊บเข้ามาบ่อยมากเกินไป แต่เรารู้ตัว
คุณหมอบอกว่า ยาตัวนี้อาจส่งผลทำให้มีความรู้สึกอยากตายได้

คุณหมอขอปรึกษาว่า จะใช้ยาตัวนี้ต่อไปรึเปล่า
อธิบายการทำงานของยา แล้วก็คุยเรื่องบัญชียาหลักอะไรพวกนี้
เราไม่ได้มีความคิดจะหยุดยาอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะมีผลข้างเคียง อย่างอาเจียนอะไรแบบนั้น
มันเล็กน้อยเกินไปสำหรับเราที่เคยเจอมาเยอะกว่านี้
ส่วนเรื่องอยากตาย เราก็รู้ตัวเองว่า โอเค มีความคิดแว๊บเข้ามานะ
ก็ต้องรีบสลัดออกโดยเร็ว อย่างที่เคยทำ ตอนนั้นแว๊บขึ้นมา
เราเดินออกไปกลางแจ้งเลย ไปโดนแดด เดินไปซื้อของอะไรก็ว่ากันไป
มันไม่น่ามีปัญหาอะไรมากมาย

(ซึ่งมันน่ากลัวจริงๆ ถ้าอยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ปกติ มันจะแย่คูณสองคูณสาม
และเราก็เจอมาแล้ว แค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกลับจากโรงพยาบาล
เราได้เจอเรื่องที่แย่มากที่สุดในชีวิตซ้ำเติมลงมา
แต่โอเค เรายังไม่ตาย ยังมา up blogได้)

ครั้งนี้คุณหมอคุยเรื่องยาเยอะ แล้วก็มาถามเราว่า
เรารู้สึกไม่พอใจคุณหมอรึปล่าว ที่มาคุยกันเรื่องนี้
แทนที่จะได้เล่าปัญหาอะไรให้ฟัง เราร้อง หือ!!
เราบอกคุณหมอไปว่า ไม่เลย แล้วเรามาหาหมอเนี่ยะ
ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่เราตั้งใจจะมาเล่าอะไรให้ฟัง
ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เราเล่าให้คุณหมอฟังเนี่ยะ
เราไม่เคยตั้งใจมาเล่าเลยนะ มันเกิดจากการคุยกัน
แล้วมันก็ไหลไป อะไรที่เห็นว่าจำเป็นเราก็เล่า
โดยเฉพาะที่มันส่งผลต่ออารมณ์
ไม่ได้คิดว่าจะเอาคุณหมอมาเป็นที่พึ่งอะไรแบบนี้

(แต่เริ่มคิดหลังจากนี้แล้วนะคะคุณหมอ
ตอนที่เจอเรื่องแย่มากๆ หน้าคุณหมอลอยมาเลย -"- )

คุณหมอถามว่าโกรธคุณหมอรึปล่าวที่รักษาแล้วไม่หายซักที
มีความคิดอยากเปลี่ยนหมอมั้ย -"-

เอ่อ หมอนะคะ ไม่ใช่เทวดาจะได้เสกนะ
เราไม่ได้คิดอะไรเลย ก็บอกคุณหมอไปตามตรง
มันมีปัจจัยมากมาย อย่างยามันยังไม่โอเคกับเรา
มันต้องใช้เวลา เราก็เข้าใจ จะใช้ยาเปลี่ยนยาแต่ละครั้งไม่ได้ง่ายๆ
การวัดผลก็ไม่ได้เดินไป X-Ray หรืออัลตราซาวน์จะได้เห็นนี่นา
แถมยังมีอะไรอีกมากมายทั้งที่ควบคุมได้และนอกเหนือการควบคุม

ก็ไปด้วยกันนี่แหละค่ะ หายก็หาย ไม่หายก็พยุงไป
เราไว้ใจคุณหมอ และก็ไว้ใจตัวเอง
ถึงได้เลือกเดินเข้ามารักษานะคะ




+ + + + + + + + +

สำหรับคนที่เพิ่งมาอ่าน
PostแรกของBlogนี้  ---> ก้าวแรก



03 พฤศจิกายน 2555

คุณหมอของเรา [14th]


พฤหัส ที่ 1 พฤศจิกายน 2555

เจอคุณหมอปุ๊บ บอกว่าจริงๆกะว่าจะไม่มาวันนี้แล้ว
เพราะเพิ่งกินยาไปได้ 2 วันเอง
-"-
กะว่า เดี๋ยวกินใกล้หมดค่อยโทรมานัดอีกที
แต่ก็มาดีกว่า ไหนๆก็นัดแล้ว

จริงๆคือ ช่วงนี้จิตเวชรามาฯ คนเยอะมากนะคะ
คนใหม่ๆที่มาก็ใช่ว่าจะได้พบคุณหมอเลยแบบเรา
บางคนต้องนัดล่วงหน้านานมากๆ
การเป็นคนไข้เก่าช่วงนี้ รู้สึกว่า เป็นคุณค่าที่เราคู่ควรมาก
>_<

คุณหมอก็คุยสบายๆ
เจอกัน 14 ครั้งแล้ว บ่อยกว่าเพื่อนหลายคนเลยนะ
แถมเป็นเพื่อนที่เราไม่ซัดซักโครมนึงที่ถามเรื่องส่วนตัวเยอะขนาดนี้

เราบอกคุณหมอไปว่า ที่คิดว่าต้องมา เพราะ
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เรารู้แล้วว่าคนคิดฆ่าตัวตาย มันคิดแบบนี้นี่เอง
มันคงเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก ก็แวะมาคุยซักหน่อยดีกว่า

ไม่รู้จะเล่าอะไรในblogดี เพราะเรื่องที่คุยมันก็เรื่องส่วนตัวซะเยอะ
แถมจำไม่ได้ว่า ปล่อยโฮมาตอนไหน ตอนคุยเรื่องอะไรอยู่
แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไม ไม่หยิบทิชชูในกระเป๋ามาเช็ด
สงสัยจะลืม!
คุณหมอเดินไปหยิบทิชชูแบบที่ใช้ในส้วมมาให้เช็ดหน้า
~_~
(เหมาะกับหนังหน้ามากค่ะ)

เราเล่าให้คุณหมอฟังด้วยว่า ช่วงที่รออยู่นี่
มีคนป่วยนั่งใกล้ๆเค้าคุยกัน แล้วที่เค้าเล่า มันแบบที่เราเป็นเลย
แล้วเราก็ปล่อยโฮออกมา ตอนน้องคนนั้นพูดว่า
" หนูอยากกลับไปเป็นคนเดิม "

(เรากำลังจะหาวิธีเล่าเรื่องนี้ยังไง ไม่ให้กระทบกับน้องคนนี้
จะพยายามในโพสต์ถัดไปให้ได้ มันกระแทกใจจริงๆ
รวมทั้งเห็นภาพคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ชัดมาก)

คุณหมอพูดเรื่องกินยา หยิบซองยาที่เราเอามาให้ดู
พลิกไปพลิกมาในมือพลางพูดเรื่องกินยาไปด้วย
ชักแม่น้ำทั้งห้ามาคุย
เพื่อจะสรุปว่าหมอไม่ได้บังคับให้คุณกินยานะ
เราบอกหมอไปว่า หมอกำลังไซโคเรา
เล่นเอาหัวเราะกันทั้งหมอทั้งคนป่วย


กินยาแล้วนะคะ คุณหมอ




+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [15th]




25 ตุลาคม 2555

คุณหมอของเรา [13th]


ครั้งนี้แอบเห็นประวัติคนไข้อยู่ในจอคอมพิวเตอร์
โรงพยาบาลรามาฯไฮเทคแล้วค่ะ >_<

คุณหมอคลิกนู่นคลิกนี่ ถามข้อมูลเบื้องต้นไปพลาง
บอกคุณหมอเรื่องหยุดยาเอง
แต่หน้าตาระรื่น บิ้วท์ร่าเริงเต็มที่
ประหนึ่งนี่ไง ไม่ต้องกินยาก็ได้(ม้าง)

คุณหมอถามอาการ หลังจากหยุดยา
เราก็เล่าว่าวันแรกๆดีใจม้ากมาก ชิลล์เลย
พอซัก 2-3 วันเท่านั้น แทบล้มหมอนนอนเสื่อ
ถึงขั้นอาเจียน ปวดหัว เวียนหัว ทุกสิ่งอัน จัดมาครบ
โดยเฉพาะปวดหัวนี่จำแม่นมาก เป็นอาการปวดแบบตอนกินยาช่วงแรกๆ
เรียกว่าปวดตลอดเวลาที่ไม่หลับ กินยาแก้ปวดก็ไม่หาย
ตอนนั้นปวดอยู่ 2 สัปดาห์ แต่ครั้งนี้ แค่ 2-3 วัน
ส่วนคลื่นไส้ อาเจียนนี่ ปกติเลย ชินแล้ว ไม่ตื่นเต้นตกใจอะไรอีกต่อไป

คุณหมอถามว่ามีความคิดฆ่าตัวตายมั้ย
เราก็ยืนยันว่าไม่ .. คือ ตั้งแต่วันแรกถึงวันที่ไปพบคุณหมอครั้งนี้
มันไม่คิดนะ อาจจะเบื่อๆในการมีชีวิตอยู่ แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตายซักแว๊บ

(หลังจากหาหมอครั้งนี้แหละ ถึงได้รู้ว่า คนป่วยที่คิดฆ่าตัวตายมันเป็นยังไง)

คุณหมอคุยเรื่องยา ว่าทำไมหยุดยา
ขอเหตุผล ให้อธิบายมาหน่อย อะไรยังไง เราบอกเบื่อ
คุณหมอก็ถามว่า เบื่อยังไง เบื่อแบบไหน
เบื่อที่ต้องกินยาทุกวัน รู้สึกเป็นคนป่วย?
เบื่อหมอ เบื่อโรงพยาบาล เบื่อมารอ หรือเบื่ออะไรยังไง

ไอครั้นจะตอบเบื่อๆๆๆ ก็เกรงใจคุณหมอมากๆ แต่ก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง
ก็บอกไปว่า รู้นะ เข้าใจนะ อ่านมาเยอะมาก ว่าห้ามหยุดยาเอง
แล้วก็ยังคิดว่า จะหยุดยาทำไม ก็กินๆไปเถอะ

แต่พอถึงเวลาต้องกินขึ้นมา กินทุกวัน 9 เดือนแล้ว
มันรู้สึกแย่ๆ แย่ตั้งแต่กินยาใหม่ๆ แล้วเจอผลข้างเคียง
แย่ที่ต้องอดทนกับมัน แล้วพอยามันตอบสนองไม่ดีพอ
ก็ต้องอดทนใหม่ วนเวียนอยู่แบบนั้น
แล้วเวลาที่มีอาการอะไรขึ้นมา เราก็ไม่แน่ใจว่านี่มันเพราะยา
หรือเพราะป่วย หรืออะไร

เหมือนยาเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เราต้องพยายามกลืนลงไป
เพื่อ........ ??

พบคุณหมอครั้งนี้คุยกันอยู่ราว 20-25 นาทีเห็นจะได้
เราคุยไปยิ้มไป พยายามจะร่าเริง

ถามคุณหมอไปว่า
อาจเป็นเพราะเจอเรื่องเครียดๆ เรื่องเลวร้ายมานานเกินไปรึปล่าว

คือ เราพยายามที่จะพาชีวิตเดินต่อไปให้ได้
โดยไม่สนไอสารสื่อประสาทงี่เง่าในสมองอะไรเนี่ยะ

ที่คุณหมอตอบมาตอนนั้น เราไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอก
มันคือ ข้อสรุปว่าเราควรต้องกินยา
แต่พอมาทบทวนดูหลังจากนั้น ก็เข้าใจมากขึ้น
คุณหมอบอกว่า ถ้าเป็นปกติ คนเราจะปรับตัวได้

มานั่งคิด หลายปีที่ผ่านมา
เราเจอโจทย์ยากมามากมาย เราผ่านมันมาได้ตลอด
เรื่องหนักๆ เรื่องหินๆ เราผ่านมันมาได้
เรื่องที่ทำให้แทบจะขาดใจตาย เราก็ผ่านมันมาได้หมด
ยังรู้สึกว่า เฮ้ย จะแกร่งไปไหนคะเนี่ยะ

แต่ที่ล้มฟุบไปนี่ มันไม่มีประเด็นอะไรเลย
ไม่มีจริงๆ ชีวิตกำลังไปได้ด้วยดี
แล้วอยู่ๆมันเกิดอะไรขึ้น อะไรที่ง่ายๆ มันยากไปหมด

อย่างช่วงแรกๆ ที่ขนาดกินข้าวยังยากเลย
มันเกิดอะไรขึ้น?

แล้วที่เราขังตัวเองไว้ในห้อง ปิดม่านไม่พอ เอาผ้ามาปิดอีกชั้น
มันเกิดอะไรขึ้น?

แล้วที่เราไม่ไหวกับทุกสิ่ง
ทั้งที่โจทย์ต้องแก้มันง่ายประมาณบวกเลขหลักหน่วย
แต่มันยากราวกับต้องบวกเลขหลักล้าน โดยไม่ใช้เครื่องคิดเลข
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

แล้วอีกมายมายหลายคำถาม เกินกว่าที่เราจะบรรยายมาได้

คำตอบเดียว เออ เราป่วยจริง คงต้องกินยาสินะ

คุณหมอสั่งยาตัวใหม่ให้ แต่ก็บอกมาว่า
ลองไม่กินซักสัปดาห์ดูก่อนก็ได้นะ
แล้วก็สตาร์ทกินตั้งแต่ 2 เม็ด แล้วขยับไปเป็น 3 เม็ด
คุณหมอคำนวณวันนัดครั้งหน้าให้
เราก็เลยต้องบอกว่า " ก็คงจะกินแหละค่ะ "
เพราะไม่งั้น มันก็คำนวณยากจริงๆนะ

พอคุณหมอบอกผลข้างเคียงของยา
อยากจะทรุดลงไปกองตรงนั้น เริ่มยิ้มไม่ออก
จริงๆก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วงอีก ผ่านมาหมดแล้ว
แต่ก็ผ่านมาแล้วไง มันไม่อยากต้องเจออีก

มันเหนื่อย มันไม่ได้คิดไปเอง มันเกิดขึ้นจริง
จริงซะยิ่งกว่าจริง ว่ากินยาพวกนี้ช่วงแรกๆ มันแย่มาก
ใครที่เคยกิน คงรู้

ใครๆก็คิดว่าป่วยใจ (ใช่มั้ย)
ไม่เลย ใจน่ะสู้อยู่แล้ว
ถ้าไม่สู้ มันไม่อยู่มาถึงวันนี้หรอก

ถ้ามันไม่สู้
มันไม่พาตัวเองมาถึงโรงพยาบาลในวันนั้น วันนี้
หรือวันไหนๆได้หรอก

เราได้ต่อสู้จนถึงที่สุดแล้ว
แม้กระทั่งพาตัวมาเจอคุณหมอได้ในครั้งแรกๆ
เราก็คิดเสมอว่า เราจะไม่เอาคุณหมอเป็นที่พึ่งเด็ดขาด

เรามายืนอยู่ในแผนกจิตเวชได้ นั่นเพราะเราดิ้นรนเพื่อตัวเราเอง
คนที่ใจไม่สู้ เค้าจะทำแบบนี้ได้จริงๆเหรอ
แอบสงสัยในบางครั้งนะ




อ้อ ยาตัวใหม่ อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยนะคะ
แล้ว 4 กิโลที่ขึ้นมาล่ะ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
T_T



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [14th]

24 ตุลาคม 2555

หยุดยาเอง

ไปโรงพยาบาลตั้งแต่ต้นเดือน ตอนนี้ปลายเดือนแล้ว
อัพซักหน่อยมั้ย T_T

อันที่จริงนัดตั้งแต่ปลายเดือนกันยา
แต่ทางโรงพยาบาลส่งจดหมายมาเลื่อน
เลื่อนกันไปเลื่อนกันมา ตกลงไม่ได้ไปเลย
แถมแผลงฤทธิ์แผลงเดชหยุดกินยาไปเรียบร้อย

หยุดวันแรกๆก็ยังโอเคดี ผ่านไป 2-3 วัน เอาแล้วสิ
อาการมาเต็ม เป็นอาการเหมือนช่วงกินยาใหม่ๆเลยค่ะ
ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน เกาะโถส้วมกันอีกรอบ
แต่ก็เป็นอยู่ไม่กี่วัน มันเป็นอาการแบบพอทน ไม่ก็เพราะชินแล้ว
แถมแอบมีความสุขที่ไม่ต้องกินยาทุกวัน >_<

โทรไปหยั่งเชิงที่แผนกจิตเวชว่าคุณหมอลงวันไหนบ้าง
คุณพยาบาลที่นี่ก็ดีใจหาย ขอ HN อย่างเดียวเลย
แค่จะสอบถาม คุณพยาบาลจับนัดเสร็จสรรพค่ะ

พฤหัส ที่ 4 ตุลาคม 2555

ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล จะต้องออกเช้ามากๆ
แล้วต้องไปรอนานมากๆ รอจนเครียด
คราวนี้เอาใหม่ ออกสายหน่อย กะว่าไปทันแน่ๆ
ที่ไหนได้ เจอรถติดแบบกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง

แถมตั้งแต่แผนกผู้ป่วยนอกจิตเวชฯ ย้ายไปอยู่ตึกใหม่
ยังไม่เคยไปเลย หน้าตาเป็นไงก็ไม่รู้ รู้แต่อยู่ชั้น 9
พุ่งตัวเข้าโรงพยาบาลได้ แทบกรีดร้อง ลิฟท์ๆๆ ลิฟท์อยู่ไหน
เจอลิฟท์ตัวไหนก็ไม่รู้ ขึ้นเลย พอถึงชั้น 9 ยืนงงล่ะทีนี้
ป้ายอะไรเนี่ยะ บอกว่าแผนกจิตเวชอยู่อีกฝั่งนึง ต้องขึ้นลิฟท์อีกตัว
กำลังยืนตั้งสติอยู่ 2 วินาที ก็เจอเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย
เป็นชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
มีคนนึงน่ารักมากๆ ช่วยอธิบายว่าเดี๋ยวลงลิฟท์ไปชั้น 8
แล้วเดินไปจนสุดทาง ขึ้นลิฟท์อีกตัวไปชั้น 9 ใหม่

OMG นี่เกือบได้ลงไปชั้น 1 ใหม่ แล้วเดินไปหาลิฟท์ที่ว่า
แล้วไต่ขึ้นไปชั้น 9 ใหม่แล้วค่ะ แล้วลิฟท์ไม่ได้จะมาเร็วขนาดนั้น
คุณเจ้าชายเห็นเราทำหน้ามึนงง เลยอธิบายระหว่างรอลิฟท์
ว่า..จริงๆแล้วจิตเวชอยู่อีกฝั่งนึงของตึก ชั้นนี้เดินทะลุไปไม่ได้
แต่ชั้น 8 เดินทะลุได้ทั้งชั้น .. อ่อ -"-

เราก็ลงลิฟท์ไปพร้อมกับคุณเจ้าชายและเพื่อนๆ
พอถึงชั้น 8 ประตูเปิด คุณเจ้าชายยังกดลิฟท์ค้างไว้แล้วอธิบายต่อ
บอกให้เดินไปทางนี้ๆ สุดทางเลยนะ เดินไปเรื่อยๆ จนเจอลิฟท์แบบนี้

แล้วคิดเหรอว่าจะเดิน วิ่งค่ะวิ่ง วิ่งอย่างเดียวเลย
ก็คุณหมอของเราลงตรวจสัปดาห์ละวัน ถ้าไม่ทัน จบข่าวเลย
เทคตัวเข้าแผนกปุ๊บ วิ่งไปหาคุณพยาบาลแล้วบอกว่า accidentค่ะ
-/\- ผิดขั้นตอนที่เค้ากำหนดไว้ทุกอย่าง (ขอโทษน้า แงๆ)

คุณพยาบาลแผนกนี้ใจเย็นมาก
ไม่มีชักสีหน้าอะไรยังไงเลย ทั้งๆที่ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที
บอกให้เราไปวัดความดันกับชั่งน้ำหนักเลย
พอเสร็จแล้ว เราก็นั่งพักไม่กี่นาที ชมความทันสมัยของตึกใหม่
เหมือนโรงพยาบาลเอกชนทั่วๆไปแหละค่ะ
แต่กับคำว่ารามาฯแล้ว สำหรับเรา..ภาพมันติดตามาก
ยิ่งเมื่อหลายปีก่อน คนแน่นทุกอณู ไม่มีแม้กระทั่งที่ยืน
คนไข้ต้องนอนบนเตียงรอตรวจกันเต็มทางเดิน
ไปทีไร สุขภาพจิตเสียขั้นสุด .. ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว
หลังจากมีอาคารศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์

ระหว่างก้มเก็บของ ใส่รองเท้าให้เรียบร้อย
ได้ยินคุณพยาบาลเรียกชื่อ ให้ไปที่ห้องตรวจ
เงยหน้า เจอคุณหมอเดินจากเคาน์เตอร์เข้าห้องตรวจไปแล้ว
ร้องเฮ้ยเลย หอบข้าวของ วิ่งอีกรอบ
เคาะห้องป๊อกๆ เข้าไปถึง เอาเสื้อคลุมมาใส่ก่อนเลย
คือ ปกติเราชอบใส่เสื้อแขนกุดไปไหนมาไหน
แต่เวลาพบคุณหมอ ก็พยายามสุภาพไว้ เพราะต้องคุยกันนาน
จะมาคว้านหน้าเว้าหลัง ใส่สั้น คงไม่เหมาะ
(สงสารคุณหมอ ที่ต้องทนดู)

คุณหมอ เห็นสภาพเรา วิ่งมา หอบแฮ่ก ดูไม่ได้
เลยถาม " รีบเหรอครับ "
เราบอก " หลงค่ะ "

เนียนเลย
ไม่ยอมบอกว่ารถติดเลยมาสายนะ ก็ออกจากบ้านช้าเอง จะโทษใคร
>_<
แค่นี้ก็เกรงใจคุณหมอจะแย่แล้ว
เพราะเราไม่เห็นมีคนไข้รอคุณหมอหน้าห้องตรวจเลย
หรือตรวจเสร็จแล้ว ถูกเรียกตัวมาก็ไม่รู้ เกรงใจมากๆ

เดี๋ยวต้องสารภาพบาปที่หยุดยาเองอีก
-"-
ซึ่งเรื่องนี้ คงไม่จบง่ายๆ



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [13th]

18 กันยายน 2555

ไม่ง่าย


ถ้าหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
จะเจอคล้ายๆกันจนแทบจะท่องจำได้ คือ
อย่าหยุดยาเอง ต้องกินยาต่อเนื่องจนระยะเวลานึง
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่าหายแล้ว ก็อย่าหยุดกินยาเอง
ต้องไปหาคุณหมอต่อเนื่อง บลาๆๆ อะไรประมาณนี้

ช่วงแรกๆฟังดูง่ายๆนะ
ยังคิดเลย ทำไมคนป่วย ไม่ทำตามคำแนะนำของหมอล่ะ
ทำไมคิดเองเออเอง หยุดยาเอง อย่างงั้นอย่างงี้

เกือบ 8 เดือนจากวันแรกที่จิตเวช มาถึงวันนี้ เข้าใจแล้ว
มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอก

บางช่วง ก็กินยาไปตามปกติ ไม่ได้รู้สึกอะไร แค่มันต้องกิน
แต่อย่างช่วงนี้ อยากจะโยนยาทิ้งทุกวัน ไม่อยากกินแล้ว
มันเบื่อ เบื่อหลายอย่าง บอกไม่ถูก
ที่พอจะอธิบายได้คือ เวลาเกิดความรู้สึกที่เกินปกติ
เช่น เบื่อมาก เศร้ามาก หงุดหงิดมาก ฯลฯ
เราไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร

การไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร มันน่าหงุดหงิดมากนะ
ถ้าไม่ป่วย.. แล้วเกิดหงุดหงิด
ก็จะเข้าใจได้ว่า ไม่สบอารมณ์อะไรบางเรื่อง ทำใจร่มๆซะ เดี๋ยวก็หาย
หรือต่อให้หงุดหงิดจากฮอร์โมนแบบผู้หญิงๆ อย่างก่อนวันนั้นของเดือน
พอนึกขึ้นได้ มันก็จะอ๋อ แล้วก็โอเคจบ รู้แล้วว่าทำไม

แต่พอป่วย เอ๊ะ ยังไงล่ะ

เพราะยาที่กิน
เพราะมันคืออาการของโรค
เพราะนิสัยของเรา
หรือก่อนช่วงวันนั้นของเดือน ก็..เพราะฮอร์โมนอีก
มันรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ว่าตัวเองเป็นอะไรแบบนี้

มีบางวันอยากจะโยนยาทิ้งไป
แล้วใช้ชีวิตไปดูซิ มันจะอะไรยังไงเหรอ
แต่มันก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะเราก็รู้สึกว่า
นี่มันไม่ได้ใกล้เคียงเราเมื่อก่อนป่วยเลย

เอาเข้าจริง เราก่อนป่วย มันก็คงไม่กลับมาหรอก
เพราะคนเราเปลี่ยนทุกวัน ประสบการณ์แต่ละวันที่หลอมรวมมา
มันก็เป็นเราตอนนี้

แต่จะให้เราทำยังไง เราไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย
ศักยภาพทุกอย่างในการทำงาน หรือแม้แต่การใช้ชีวิต สูญหายไปกว่าครึ่ง
บางวันเราก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า
เอาน่า ชีวิตแบบ Slow Life มันก็โอเคนะ
ช้าๆ เนิบๆ สบายๆ ไม่ต้องเร่งรีบ
แต่ภายในใจเราจริงๆ เราก็อยากให้คนเก่ากลับมา
และดูเหมือนว่า ยิ่งพยายาม มันยิ่งห่างไกลไปทุกที

หลายคน(รวมทั้งคุณหมอ)ก็บอกว่า ด้วยอายุที่มากขึ้นแล้ว
มันก็เป็นธรรมชาติ ที่มันจะต้องเป็นแบบนี้
ดูสิ อย่างอาจารย์หมอที่อายุมากๆ ก็ไม่สามารถจะอยู่เวรดึกได้แล้ว
อะไรทำนองนี้

เราเข้าใจนะ..
แต่ถ้าด้วยอายุ มันจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปไง อย่างสมมติว่า
คนที่อาจจะชอบเที่ยวกลางคืนถึงเกือบเช้า
พออายุมากขึ้น มันก็จะเปลี่ยนเอง อาจจะแค่ตี2 ก็พอแล้ว
ซักพัก อาจจะแค่ห้าทุ่มเที่ยงคืน แถมความถี่ลดลง
หรือ สถานที่ไปก็แตกต่างจากอดีต ที่เคยชอบก็อาจไม่ชอบไป
มันจะเป็นแบบค่อยๆเป็น ค่อยๆไป

มันไม่ใช่แบบที่เราเป็น เรารู้สึกว่ามันกระชากมาก
เมื่อวันก่อน เรายังเป็นคนที่ร่าเริงสดใสกว่านี้
มีความคิด ความฝันอะไร ก็ลุย
เราทำอะไรได้มากมาย และยังอยากจะทำอะไรอีกมากมาย
เหมือนอยู่ๆ ข้ามจากช่วงอายุนึงไป แล้วแก่เลย
เนิบช้า ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากไปไหน ไม่อยากดิ้นรนอะไรแล้ว

เราพยายามบอกตัวเองว่า ถ้าเราป่วยแบบที่ต้องผ่าตัด
เราก็ต้องเหลือร่องรอยของโรคอยู่ดี
อย่างแผลผ่าตัดมันก็ไม่มีทางหาย 100%

นับประสาอะไรกับโรคแบบนี้
ร่องรอยของโรค มันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้
ซึ่งมันจะอยู่กับเราตลอดไป


หลายครั้งที่มีเรื่องมากมายอยากอัพ blog แต่ก็ไม่ได้อัพ
เพราะหลายครั้งเลย ที่เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่นี่
มันคือ อาการป่วย ที่ยังไม่หายดี
หรือ มันคือ เราที่นิสัยเสียกันแน่
ถ้าเป็นเพราะนิสัย เราไม่อยากมาพ่นในblogนี้

แต่วันนี้ที่ตัดสินใจมาพ่นๆ
เพราะเราเห็นแล้วว่าหลายคนที่ป่วยเหมือนกัน
รักษาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ล้วนแล้วแต่มีความรู้สึกหลายๆอย่างที่คล้ายกันตรงนี้
อาจจะแตกต่างในรายละเอียด เพราะชีวิตของแต่ละคนต่างกันไป

เราก็ขอบันทึกไว้ว่า มันไม่ง่ายขนาดนั้น
ไม่ใช่ป่วย หาหมอ กินยา เจอผลข้างเคียงของยา
ปรับยา ดูอาการ ปรับยา โอเคแล้ว ค่อยๆหยุดยา หายแล้ว บลาๆๆๆๆ

ไม่ง่ายนะ



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  หยุดยาเอง 



25 สิงหาคม 2555

คุณหมอของเรา [11th] & [12th]


แหง่ว ไม่ได้อัพจนต้องรวบยอดเลย

ครั้งที่ 11th - วันจันทร์ 23 กรกฎาคม 2555

เล่าย้อนนานมาก ก็เลยจำข้อมูลอะไรไม่ค่อยได้มากนัก
อาการนิ่งๆ แต่..มีปัญหาเรื่องการนอนกลับมาอีกแล้ว
คุณหมอเลยจ่ายยานอนหลับให้
พร้อมกับยาซึมเศร้าอีก 2 ตัว ซึ่งก็เป็นตัวเดิมที่กินอยู่
คุณหมอบอกว่า ครั้งนี้จะไม่ปรับยาก่อน

แล้วก็คุยกันเรื่องยานอนหลับ
คือ จริงๆเราไม่อยากกินเลย ที่ผ่านมาก็กินให้น้อยที่สุด
คุณหมอจ่ายยานอนหลับตัวเดิมที่เราเคยกิน
และบอกว่า อย่ากินติดกันเกิน 2 สัปดาห์ จะทำให้ติดได้
ถ้าพอนอนได้ เข้าที่เข้าทาง ก็หยุดซะ

เราถามว่า มันจะออกฤทธิ์ช้าเร็วขนาดไหน
คุณหมอบอกว่า ประมาณครึ่งชั่วโมง
เราถามกลับไปว่า แล้วถ้าครึ่งชั่วโมงแล้ว มันไม่ง่วงเลย จะทำยังไง
คุณหมอบอกให้กินอีกครึ่งเม็ด

ครั้งนี้ก็กลับไปพร้อมกับยาตัวเดิม บวกด้วยยานอนหลับ
และนัดอีก 1 เดือนต่อมา


ครั้งที่ 12th - วันพฤหัส 23 สิงหาคม 2555

เวลานัด 11.00 น. แต่ก็ต้องไปแต่เช้าอยู่ดี
ไปถึงจัดการชั่งน้ำหนักจดลงในใบนัด
แล้วไปวัดความดัน คลิปไปกับใบนัดเสร็จสรรพ ก่อนหย่อนลงกล่อง
จะได้ไม่ต้องให้คุณพยาบาลเรียกขอความดันอีกรอบ
แล้วหาที่นั่งติดฝา ตั้งหน้าตั้งตาหลับ
ก็ไปถึง ตั้งแต่ยังไม่ 8.00 น.ง่วงมากมายมหาศาลเลย

หลับๆตื่นๆไปหลายรอบ ทรมานมาก อยากกลับบ้านเร็วๆ
ราว 10 โมงกว่าๆก็ได้ยินคุณพยาบาลเรียกให้ไปนั่งรอหน้าห้อง
หยิบหมากฝรั่งมาเคี้ยวแก้ง่วงและเบลอ
ยังแอบคิดว่า คงคุยกับคุณหมอไม่รู้เรื่องแน่ๆ ง่วงขนาดนี้น่ะ

พบหมอครั้งนี้ เราก็บอกเลยว่า มันฟุ้งซ่าน คิดอะไรเยอะไปหมด
คือ ช่วงที่ผ่านมาเนี่ยะ เราไม่ได้ทำงาน จนกิจการแทบพัง
พอทำได้ ก็ทำไปงั้นๆพอประทัง แต่ตอนนี้เริ่มโอเคขึ้น
ความอยากทำนั่นนี่มันโผล่ขึ้นมาเต็มไปหมด
เหมือนชดเชยที่ไม่ได้ทำมานาน

ฟุ้งซ่าน นอนไม่หลับ ไหนจะกังวลอีกว่าจะเป็น Bipolar มั้ย
พอโปรเจคเต็มหัว ก็กังวล ยิ่งฟุ้งไปกันใหญ่
มีหลายอย่างจะทำ แต่กลับทำไม่ได้ ไม่มีแรงทำ

คุณหมอขอรายละเอียดสิ่งที่เราคิด จริงๆก็เล่าไปไม่ถึงครึ่งหรอก
แต่คุณหมอก็ช่วยเกลี่ยๆสิ่งที่เราพล่ามไป
ว่าจริงๆแล้ว นั่นมันเรื่องเดียวกันรึปล่าว
เราอึ้งไปนิดนึง เงียบไป 3 วินาที แล้วก็บอกคุณหมอว่า
" อืม มันก็เรื่องเดียวกันนะ "

คุณหมอถามว่าแล้วถ้ามันทำไม่ได้ตามที่คิดไว้ จะเป็นอะไรมั้ย
มันเลื่อนไปได้มั้ย เราก็พยายามบอกว่า บางอย่างก็ได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่บางอย่างมันไม่ได้ ..
จริงๆแล้วไอที่ไม่ได้น่ะ มันไม่ได้คอขาดบาดตายอะไรนะ
เราคิดนะว่า เราเอาวันมาตั้งเป็นเส้นตายให้เราทำนู่นทำนี่ต่างหาก
เพราะถ้าทำได้ มันก็เติมเต็มความรู้สึกหลายๆอย่างให้เรา
ถ้าทำได้ไม่ทัน ก็อาจจะเฟลนิดๆ
แต่เรื่องความเสียหาย ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักหรอก

แล้วก็คุยเรื่อง to do list เรื่อง priority กันนิดหน่อย
เพื่อช่วยสะสางความฟุ้งซ่านของเรา
คุณหมอบอกว่า ไม่ใช่ Bipolar หรอก (คงเห็นว่าเรากังวลมาก)
แต่เอาจริงๆ จะเป็นอะไรมันก็ไม่มีอะไรหนักหนาแล้วล่ะ
ระยะเวลาเกินครึ่งปีที่อยู่กับโรคนี้ มันทำให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน
จะเป็นอะไรมากกว่านี้ ก็ต้องอยู่ให้ได้อยู่ดี

คุยเรื่องยานอนหลับกัน
เพราะที่ผ่านมา นอนไม่ได้ เราก็ไม่ได้ใช้ยานอนหลับนะ
กินเป็นแค่บางวันเท่านั้น ที่มันควรต้องหลับเพื่อจะต้องตื่นเช้า
แต่ก็แปลกที่กินแล้วไม่ง่วง ทั้งที่เราก็แอบไปหาข้อมูลมานิดหน่อย
ว่ายาที่คุณหมอให้น่ะ ถือว่าออกฤทธิ์เร็วแล้ว

เราถามคุณหมอว่า มีแบบกินปุ๊บ 5 นาที 10 นาที ง่วงพับไปเลยมั้ย
คุณหมอชะงักนิดนึง บอกประมาณว่า มันทำให้ติดง่าย
(เราแปลเอาเองนะว่ามี แต่คุณหมอไม่จ่ายให้หรอก)

คุณหมอจ่ายยานอนหลับตัวใหม่ให้
เพราะเรายืนยันว่า กินไปก็ไม่เห็นจะง่วงเลย
คุณหมอบอกว่า ตัวนี้ออกฤทธิ์ยาวกว่า เราขมวดคิ้ว
เพราะเราไม่อยากนอนนานๆ คือ อยากได้แบบกินปุ๊บน๊อคไปเลย
แล้วก็ตื่นสบายๆ ตื่นง่ายๆ (สงสัยต้องเป็นยาวิเศษแล้วล่ะ)

แต่เราก็ไม่ได้กังวลอะไร ได้ยาตัวใหม่มาเผื่อไว้ก่อนก็ดี
ยังไงยาตัวเก่าก็ยังมีอยู่พอสมควร เพราะกินไปไม่กี่ครั้ง

คุณหมอบอกว่า ถ้ายังนอนไม่ได้แบบนี้อีก
ต้องมาคุยกันเรื่องปรับยาซึมเศร้าแล้วล่ะ
ไม่ใช่มาเปลี่ยนยานอนหลับแบบนี้

เราก็เข้าใจนะ นี่เป็นการนัดสองครั้งติดกันที่เรามีปัญหาเรื่องการนอน
แสดงว่าเรามีปัญหาเรื่องการนอน ราวๆเดือนครึ่งถึงสองเดือนแล้ว
ถ้าคราวหน้ายังเป็นแบบนี้ มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

คุณหมอถามว่ามีอะไรจะถามมั้ย เราส่ายหน้า
คือ ถึงมีก็นึกไม่ออกหรอกค่ะ มันง่วงนอน
ก็เล่นนอนไม่หลับจนมาหลับเอาตี4 แล้วต้องตื่นตี5
ที่คุยกันรู้เรื่องขนาดนี้ ก็ถือว่าเยอะแล้ว

นัดครั้งหน้าอีก 5 สัปดาห์
แอบตื่นเต้น เพราะจะย้ายไปตึกใหม่ (เข้าใจว่าชั่วคราวนะคะ)
รู้สึกมีส่วนร่วม ว่าเป็นผู้ป่วยรุ่นย้ายตึก ^_^
อยากให้ถึงนัดครั้งหน้าเร็วๆจัง >_<






+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ไม่ง่าย

07 สิงหาคม 2555

ไม่ค่อยสู้ดีนัก


ไม่ได้ up blog ซะนานเลย
ครั้งสุดท้ายที่ไปหาหมอก็เดือนที่แล้ว .. กรกฎา 2555
นี่ปาไปเป็นสัปดาห์ของเดือนใหม่ ถึงได้โผล่มา

แล้วก็ยังไม่สามารถมาพิมพ์เล่าอะไรๆเกี่ยวกับการไปหาหมอครั้งล่าสุดได้ค่ะ
และความตั้งใจที่จะ up blog ให้ได้เดือนละ 7-8 ครั้ง ก็ทำไม่ได้

ตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ที่ยังไม่จมดิ่งลงไป อาจจะเป็นเพราะยา
ขาดสมาธิในการทำอะไรหลายๆอย่าง
เบื่อหน่าย และเริ่มมีปัญหาในการนอนอีกครั้ง

แต่คงไม่ปล่อยให้จมดิ่งลงไปแบบที่ผ่านๆมา
อาจจะเพราะ ตอนนี้เรารู้แล้ว ว่าเราเป็นอะไร
มีคุณหมอ มียา มี"เพื่อนร่วมโรค" ฯลฯ

เข้ามาดูblog ยังมีคนเข้ามาอ่านทุกวัน ไม่มีวันไหนเลยที่ตัวเลขเป็นศูนย์
ถ้าใครอยากคุยด้วย ติดต่อได้ทางtwitterนะคะ
ขออภัยที่ไม่อาจให้ email หรือให้ติดต่อทางอื่นได้

แล้วจะรวบรวมพลังชีวิตมา up blog ให้ได้เร็วที่สุดนะคะ



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [11th] & [12th]



18 กรกฎาคม 2555

คุณหมอของเรา [10th]


จันทร์ ที่ 9 กรกฎา 2555

ราวๆ 9 วันที่ผ่านมา หลังจากที่คุณหมอปรับลดยาให้
อาการหน้ามืด ตาพร่า หายไปเลย
ผลข้างเคียงอื่นๆ ก็ลดน้อยลงไปเยอะพอสมควร
แม้จะยังกินจุเหมือนเดิม แต่โดยรวมก็ดีขึ้นมากค่ะ
พอถึงวันนัด เราก็ไปแบบชิลล์ๆ แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้
ระหว่างทาง มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่มาก จนน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

เดินขึ้นไปที่แผนกจิตเวช ก็ยังหยุดร้องไม่ได้
แวะไปเข้าห้องน้ำซักพัก น้ำตาก็ยังไหลตลอดเวลา ก็เลยช่างมันละ
รีบเข้าไปชั่งน้ำหนัก หย่อนใบนัดใส่กล่อง แล้วไปนั่งรอ
รอไปก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไป วันนี้ได้เป็นคิวแรกของคุณหมอ
ก็ไปนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจคนเดียว ยังร้องไห้ไม่หยุด
คุณหมอเดินถือแฟ้มมาแล้วเรียกชื่อ เราก็เดินก้มหน้าเข้าไป
คุณหมอเห็นสภาพนั้น ก็พูดประมาณว่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย
เราก็ไม่พูดอะไร ก้มลงหยิบทิชชูซับน้ำตาต่อ

สถานการณ์ในห้องตกอยู่ในความเงียบ
คุณหมอถามอะไรมา เราก็ไม่ตอบ
เราอยากจะหยุดร้องไห้ด้วย แต่มันหยุดไม่ได้
พูดไม่ออก เสียงมันอยู่ในคอ หายใจไม่ออก เพราะน้ำมูกไหลอีก
จำได้ว่า ประโยคแรกที่เราพูดไป คือ " อาจจะไม่มาแล้วนะคะ "
แล้วเราถามไปอีกประมาณว่า ถ้าหยุดกินยาจะเป็นยังไง
คุณหมอก็ไม่ตอบ หรือ ตอบก็ไม่ตรงคำถามนี่แหละค่ะ

คุณหมอถาม เราไม่ตอบ เราถามคุณหมอ คุณหมอไม่ตอบ
ตามดูกันต่อไป จะคุยกันรู้เรื่องมั๊ย

คุณหมอถามอาการหลังจากที่ปรับยาลงไปราว 9 วัน
คราวนี้เริ่มคุยกันซะที -"- เราก็หยุดร้องได้แล้ว
บอกไปว่า อาการที่มันเคยเกิดขึ้น อย่าง วูบ หน้ามืด ตาพร่า ดีขึ้น
มือสั่นเวลาเขียนหนังสือ ก็ดีขึ้น แต่ยังกินเยอะเหมือนเดิม
เรื่องอารมณ์ที่รู้สึกว่า ฉุนเฉียวง่าย ก็ดีขึ้น
แต่เราก็เข้าใจนะ การที่เรานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้แล้วบอกว่าดีขึ้น
มันก็ยังไงๆอยู่

คุณหมอพยายามถามว่า แล้วที่ร้องไห้วันนี้มันเป็นเพราะอะไร
มันแย่มากๆ ร้องเอง หรือ เจอเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ร้อง
เราก็ตอบว่าเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ร้อง แต่โดยรวมดีขึ้น

ครั้งนี้ เรานั่งมองบนโต๊ะคุณหมอ ไม่ได้มองหน้า คุยไปมองโต๊ะไป
คุณหมอซักเรื่องงาน ว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ ทำได้น้อยลง ไม่อยากทำ
คุยเรื่องนี้กันอยู่นาน เราก็มองหน้าบ้าง มองโต๊ะบ้าง

แล้วคุณหมอก็กลับมาถามเรื่องที่ทำให้ร้องไห้วันนี้
ถึงจุดที่เราพร้อมจะเล่าแล้วด้วย
เราก็เล่าๆไป จนถึงความรู้สึกที่ไม่อยากจะรักษาต่อแล้ว
แม้กระทั่งคิดจะเปลี่ยนโรงพยาบาลไปรักษาใกล้บ้าน
แต่สรุปสุดท้าย เราก็บอกคุณหมอไปว่า ก็คงจะมานั่นแหละ
เราต้องรักษาตัวเพื่อจะทำงานได้เต็มที่ซะที
แล้วก็คงมาที่นี่แหละ เพราะเราไม่ไหวกับการต้องไปเริ่มต้นใหม่

ครั้งนี้คุณหมอให้คงยาไว้ในปริมาณเดิมก่อน
คุณหมอบอกประมาณว่า ปรับยาบ่อยๆมันก็ไม่ดีกับร่างกายนัก
เราถามคุณหมอไปว่า ยาพวกนี้มันมีผลต่อไตรึปล่าว
เพราะเราก็ลืมไปแล้ว ว่าตอนที่มาครั้งแรกเราได้แจ้งไปว่าเป็นนิ่วในไตมั๊ย
คือ วันแรกมันกรอกเอกสาร รวมทั้งตอบคำถามเยอะไปหมด
จนเราจำไม่ได้ว่าแจ้งไว้รึปล่าว
คุณหมอก็เปิดๆแฟ้มดู แล้วบอกว่า เดี๋ยวจะดูเรื่องค่าไตด้วย

คุณหมอถามว่า "มีอะไรจะถามหมอมั๊ย"
เราได้แต่ส่ายหน้าเป็นพัดลม
มันไม่รู้จะถามอะไรจริงๆ
มันเหนื่อยมากๆ เหนื่อยทั้งกาย ทั้งใจ
อยากพัก อยากเอนตัวลงนอนอย่างเดียวเลย



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ไม่ค่อยสู้ดีนัก

08 กรกฎาคม 2555

จ่ายยาผิด


ขอออกตัวก่อนนะคะ ว่าไม่มีเจตนาตำหนิใคร
เพราะเรื่องแบบนี้ มันมีโอกาสผิดพลาดกันได้
ที่มาเล่าในblog เพราะอยากให้เป็นอุทาหรณ์กับผู้ป่วยทุกคน
จะได้ตรวจสอบยาของตัวเองที่ได้รับมาอย่างละเอียดทุกๆครั้ง

หลังจากพบคุณหมอก็ลงมารับยาตามปกติ
เหลือบมองในใบสั่งยาก็เห็นมียา 2 รายการ
ยื่นใบสั่งยาแล้วไปนั่งรอ จนเห็นชื่อขึ้นบนจอ
ก็เดินไปจ่ายเงิน แล้วไปเข้าคิวรับยา

พอรับยาเสร็จ เราก็มานั่งเก็บของ พวกใบเสร็จรับเงินอะไรพวกนี้ลงกระเป๋า
แล้วก็หยิบยามาดู ก็มียา 2 ซอง ตัวนึงก็เป็นยาที่เรากินตั้งแต่ครั้งแรก
แต่อีกตัวนึงมันไม่ใช่ ก็งงเล็กน้อย
เพราะคุณหมอก็บอกเราว่า จะให้เราลดยาตัวนี้ จากที่กิน 4 เป็น 2 เม็ด
เอ๊ะ ทำไมมันชื่อไม่เหมือนเดิม หรือ คนละยี่ห้อล่ะ
หรือเป็นยาของคนอื่น? ดูชื่อ ก็เป็นชื่อเรา
แล้วยาอีกตัว ก็เป็นยาที่เรากินอยู่ นั่งงงๆ มึนๆ
ก็ยังคิดไปอีกนะว่า หรือเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่นที่มันคล้ายกัน
ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไม ไม่เดินไปถาม (อาจจะคิดว่าไม่น่าผิด)
หรือ ทำไมไม่เข้าไปเช็คใน app YaAndYou เหมือนเดิม
ชื่อยามันค่อนข้างจะคล้ายกันนะ แต่ตรงมิลลิกรัม มันไม่ใช่เลย
รู้สึกตะหงิดๆ แต่ก็ยังจะคิดไม่ว่ามันไม่น่าจะผิด

เปิดtwitter ถามคุณ  @wilasineek (เภสัชกร)
ว่าได้ยาชื่อนี้มา มันเป็นยาตัวเดียวกันเหรอ
แต่ก็ไม่ได้คิดว่า คุณ  @wilasineek จะตอบกลับมาทันที เพราะว่าเป็นเวลางาน
อีกอย่าง หลายคนก็ไม่ได้เปิด Notification ไว้ จะได้รู้ว่ามีข้อความ
เช่น ตัวเราเองเลย เวลาที่มีใคร Mention มา หรือ ส่งข้อความมา เราก็ไม่รู้หรอก
จะรู้ก็ตอนมาเปิดเอง เพราะปิดที่เตือนไว้ทั้งหมด

พอส่งข้อความเสร็จ เราก็เดินออกจากห้องยา จะเดินไปเซเว่นหาอะไรกินอีก
คือ ปกติก็จะกลับเลยนะ แต่วันนั้นมีนัดบ่ายสามที่เซ็นทรัลพระราม 9
แล้วหาหมอเสร็จเร็วกว่าที่คิดเยอะ ก็เลยยังคิดไม่ออกว่าจะไปไหนต่อ
เดินไปได้ครึ่งทาง ก็ตัดสินใจออกจากรพ.เลยละกัน
ไปนั่งกินกาแฟรอเพื่อนที่ห้างดีกว่า เลยหยิบTabletมาเพื่อจะส่งข้อความ
ก็เลยเห็นข้อความของคุณ @wilasineek  ส่งมาบอกว่า
ยาผิดนะนั่น -"- รีบกลับไปห้องยาเลย ให้เค้าตรวจสอบให้ใหม่ บอกว่าไม่เคยกินยาตัวนี้
โฮ T_T อารายเนี่ยะ รีบเดินจ้ำๆกลับไปห้องยา

ก็แจ้งจนท.ที่อยู่ตรงช่องจ่ายยา
เรื่องใหญ่ล่ะทีนี้ เค้าต้องปิดเคาน์เตอร์ไปช่องนึงเลย T_T
ค้นใบสั่งยาในกล่องกันใหญ่ ซึ่งก็เยอะมาก
พอเจอ ก็มุงกัน 3 คน หัวชนกันเลย -"- อ่านชื่อยา
ส่วนเราก็ยืนทำหน้ามึนอยู่ตรงนั้น ฟังเค้าเถียงกันไปมา
ซักพักเค้าเลยบอกว่า เดี๋ยวเช็คให้ ไปนั่งรอก่อนก็แล้วกัน

รอจนเค้าเรียก แล้วให้เราเอาเอกสารไปขอรับเงินคืนที่การเงิน
เพราะยาที่จ่ายผิด มันเม็ดละ 9 บาท
แต่ยาที่คุณหมอสั่ง มันเม็ดละ 1.50 บาทเอง -"-
ก็วิ่งวนไปวนมาอยู่ 2-3 รอบ
จนได้ยาที่ถูกต้องมาซักที จนท.ก็หยิบมาเปิดให้ดูว่ากินตัวนี้ใช่มั๊ย
แล้วก็ขอโทษขอโพยอยู่ 2-3 ครั้ง เราก็บอกไม่เป็นไรๆ

แต่ระหว่างทางที่กลับ เราก็ขนลุกเลยนะ
เพราะมันคิดไปว่า ถ้าเป็นคนที่เค้าไม่สงสัย หรือว่าได้ยาหลายตัว
ได้ยากลับไป ก็คงกินตามที่จ่ายมาให้ แล้วจะเป็นไง
อย่างเรานี่ ยาตัวเดิม มันอาจจะมีผลด้วยถ้าหยุดยากะทันหัน
แถมยาตัวที่ผิด เป็นยาลดความดันโลหิต ถ้าเรากินไปจะเป็นไงเนี่ยะ

อยากให้ทุกคนที่ต้องไปหาหมอ
ให้ความสำคัญเวลาที่เภสัชกรจ่ายยาดีๆ ดูให้ดีว่าเป็นยาที่เราเคยกินรึเปล่า
ถ้าไม่ใช่ก็รีบถามไปเลย หรือสงสัยว่ายาที่ได้มาเป็นยาอะไรก็ถามเลยนะคะ

พรุ่งนี้ถึงวันนัดอีกแล้ว
กลับมาแล้วจะมาเล่านะคะ ^_^



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [10th]

02 กรกฎาคม 2555

คุณหมอของเรา [9th]


ศุกร์ ที่ 29 มิถุนา 2555

ตกลงก็ได้พบคุณหมอเสียที ห่างจากวันนัดเดิม 1 สัปดาห์
ครั้งนี้เท่ากับไปไม่ตรงนัด กะว่า วันนี้รอถึงบ่ายแน่ๆ
เลยจัดเต็ม ซื้อขนม น้ำ กาแฟ นิตยสาร มารอ
แต่ปรากฎว่า เป็นคิวที่ 3 ง้งงง

พบคุณหมอแบบชิลล์ๆ
5 เดือน ครั้งนี้เจอกันเป็นครั้งที่ 9 แล้ว
เจอบ่อยกว่าเพื่อนหลายๆคนอีกค่ะ  -"-
เราก็เล่าเรื่องราว 1 เดือนที่ผ่านมา ที่เราเข้าใจว่า น่าจะเป็นผลข้างเคียงของยา
อย่างเรื่องกินเยอะ คุณหมอก็พยายามให้เราอธิบาย
ไอที่ว่าเยอะ มันเยอะขนาดไหน
ซึ่งถ้าเราเล่าได้หมด คุณหมอคงช็อคแน่ๆ
แล้วเราก็เล่าว่า เรารู้สึก หงุดหงิดง่าย เหวี่ยง อารมณ์เสีย
คุณหมอก็ให้เล่าอีก ว่ามันยังไง

เราพยายามไล่ๆว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับอารมณ์ความรู้สึก
ซึ่งเราไม่รู้ว่า มันเกิดเพราะยารึเปล่า
คุณหมอตัดสินใจปรับลดยา จากเดิมให้กิน 4 เม็ด เหลือแค่ 2 เม็ด
เรายิ้มกริ่ม เพราะตัวจะปริอยู่แล้ว จากการกินเยอะ จนน้ำหนักขึ้นตั้ง 2 กิโล

ดีใจได้แว๊บเดียวก็หลอน
คุณหมอบอกว่า ยาตัวนี้อาจมีผลอย่างที่เราเป็นมา 1 เดือน
แต่จากที่คุณหมอซักเราหลายเรื่อง+การเป็นผู้ป่วยจิตเวชมา 5 เดือน
เรารู้สึกว่าคุณหมอคงเฝ้าระวัง Bipolar Disorder
แล้วคุณหมอก็เอ่ยปากออกมาจริงๆ ทำเอาเราเครียดเลย

แถมคุณหมอบอกประมาณว่า
ตั้งแต่เรามาครั้งแรก คุณหมอเห็นพลังบางอย่างในตัวเรา
เราเป็นโรคซึมเศร้า แต่ในหลายๆครั้งที่คุยกัน
คุณหมอรู้สึกถึงอารมณ์โกรธ หรืออะไรประมาณนี้แหละในตัวเรา
เราอึ้ง
จำไม่ค่อยได้ว่าคำพูดของคุณหมอพูดว่าอะไรบ้าง
แต่ ณ เวลานั้น เราเข้าใจสิ่งที่คุณหมอสื่อนะ

คุณหมอคงเห็นความกังวลจากสีหน้าเรา เลยบอกว่า
โอเค ตอนนี้เป็นนี่แหละ Major Depressive Disorder
แล้วให้ไปสังเกตอารมณ์ความรู้สึกหลังจากปรับลดยาไป
ให้แฟนช่วยดูด้วยอีกแรง

ถึงตรงนี้เราแอบขำนิดๆ
คือ ดูคุณหมอจะระมัดระวังการป้อนข้อมูลให้เราพอสมควร
คงคิด เดี๋ยวยัยคนนี้ต้องไปเล่าในblogอีกแน่ๆ
>_<
ไม่รู้คุณหมอโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้เราเป็นคนไข้

ครั้งหน้าคุณหมอขอนัดเป็นวันจันทร์
เราเลยเอ่ยปากถามว่า แล้วคุณหมอไม่ตรวจวันศุกร์แล้วเหรอ
คุณหมอบอกว่า อยากจะนัดเป็นวันจันทร์มากกว่า
เราเดาเอาเองว่า วันศุกร์ คนไข้คงเยอะแหงมๆ
คุณหมอคงมีเหตุผลของคุณหมอ จันทร์ก็จันทร์ค่า

พอออกมาจากจิตเวช
ลงมารับยา เราก็คิดถึงคำพูดของคุณหมอ
พลังๆอะไรในตัวเราเนี่ยะแหละ
อยู่ๆเราก็นึกถึงการ์ตูน Powerpuff Girls ขึ้นมา -"-








( รูปจาก Wikipedia )
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็น Buttercup (ตัวขวา)
นั่งรอรับยา ก็ยิ้มขำอยู่คนเดียว 
ไม่เป็นไรเน๊อะ ..เป็นผู้ป่วยจิตเวชนี่นา >_<

จริงๆไปโรงพยาบาลครั้งนี้ มีเรื่องยาผิดด้วย 
เอาไว้ค่อยเล่าpostต่อไปละกันนะคะ


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  จ่ายยาผิด


24 มิถุนายน 2555

หนักหนาสาหัส


คุณหมอให้เราเริ่มกินยาตัวใหม่ เมื่อตอนพบกันครั้งที่6 (ปลายเดือนเมษา)
จาก 1 เม็ด เพิ่มขนาดมาเรื่อยจนเป็น 4 เม็ด และลดยาตัวเดิมที่กินตั้งแต่แรกลง
ซึ่งผลข้างเคียงจากยา ค่อนข้างหลอนเลยสำหรับเรา

ก่อนจะเล่าผลข้างเคียงของยาตัวนี้
ขอเล่าเรื่องที่เราไปตามล่าหายาตัวนี้ก่อน

ตามหลักแล้ว คุณหมอจะจ่ายยาให้พอดีๆกับวันนัด
ซึ่งคงพอจะเข้าใจได้นะคะ ว่าป้องกันการเอายาไปใช้ในทางที่ผิด

บ่ายวันพฤหัสที่ 14 มิถุนา เราได้รับจดหมายจากโรงพยาบาล
เลื่อนนัดตรวจจากเดิม ศุกร์ที่ 22 มาเป็นวันศุกร์ที่ 15 ซึ่งก็คือวันรุ่งขึ้น
อะจ๊าก!!
ด้วยเหตุผลที่ว่า วันนัดเดิม คุณหมอติดอบรม
ไม่ว่าจะทำยังไง เราก็ไปวันรุ่งขึ้นไม่ได้ เพราะติดเรื่องงาน
แต่เดือนนี้คุณหมอลงตรวจ 2 วัน ต่อสัปดาห์ ยังมีวันจันทร์อีกวัน
ก็เลยโทรเข้าไปที่จิตเวช ขอเลื่อนเป็นวันจันทร์ที่ 18 ละกัน
ซึ่งก็มีเหตุให้ไปไม่ได้อีก ก็เลยหยิบยามาเช็คดูว่าจะพอรึปล่าว
ยาอีก 2 ตัวยังพอ แต่ยาตัวใหม่เนี่ยะ ไม่พอ งานเข้า!
มีทางเดียว คือ เราต้องไปรพ.วันใดวันหนึ่ง
เพื่อพบกับคุณหมอท่านอื่นให้จ่ายยาให้ แล้วนัดใหม่อีกครั้ง

แต่ช่วงนี้ เราค่อนข้างยุ่งเรื่องงานจริงๆ
จะไปรามาแบบไม่ได้นัด ต้องใช้เวลาเกินครึ่งค่อนวัน ก็ลำบากอยู่
ตอนนั้นก็แว๊บคิดขึ้นมาว่า ร้านขายยาใหญ่ๆจะมีรึเปล่า
เอ๊ะ แล้วเค้าจะขายเรามั๊ย  - -'
ถ้าเราเอาหลักฐานไปให้ดูล่ะ  - -"
นี่เมืองไทยนะ ยาไม่น่าจะหายาก  -"-
ก่อนจะไปกันใหญ่ ก็เลยถาม คุณ @wilasineek (เภสัชกร) ว่าจะหายาได้ที่ไหน
คุณ @wilasineek บอกว่ายานี้ไม่มีขายตามร้านขายยา ให้ลองไปคลินิคดู

สุดท้าย เราก็เลยไปคลินิคนอกเวลาราชการที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
มันยุ่งยากตรงก่อนที่จะพบคุณหมอ เพราะผ่านเจ้าหน้าที่เยอะมาก
ไม่รู้จะบอกว่าเป็นอะไร เลยใช้มุขปวดหัวเหมือนเดิม -"-
แต่พอเจอคุณหมอแล้ว เรายื่นบัญชีจ่ายยาที่เคยได้+ซองยาให้ดู
แล้วบอกว่าเป็นอะไร รักษาอยู่ที่รามา คุณหมอพูดทันที " ขาดยา? "
" โอว โล่งอก " แอบคิดในใจนะคะ
ตอนที่เราบอกว่า กินวันละ 4 เม็ด คุณหมอร้อง " หือ " แล้วหยิบซองยามาดูอีกครั้ง
สรุปเราก็ได้ยามากินให้ครบตามที่ควรจะเป็นก่อนจะหาเวลาไปพบคุณหมอ

คราวนี้ก็มาถึงผลข้างเคียงของยาแล้วล่ะ
ยาตัวแรกว่าเจอเยอะแล้ว ตัวนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ค่ะ
ยาตัวนี้ คุณหมอให้เรากิน 2 เดือนแล้ว
โดยเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จากเม็ดเดียว จนถึง 4 เม็ด

อาการเริ่มตั้งแต่กินแค่เม็ดเดียวเลย คือ จะวูบ หน้ามืด เวียนหัว
ไอวูบเนี่ยะ น่ากลัวมาก เวลาลุกขึ้นจากการยืนหรือนั่ง ภาพหายไปหลายวินาที
แล้วจะชาลงไปถึงปลายเท้าเลย ต้องหาอะไรยึดไว้
ตอนเจอแรกๆ ใจเสียมาก พอซักพักก็ชิน
คือ รู้ตัวแล้วว่ามันจะราวๆกี่วิ ก็ปล่อยไป หาอะไรจับไว้ หรือยืนพิงอะไรซักอย่าง

พอคุณหมอสั่งเพิ่มเป็น 2 เม็ด เริ่มมีอาการใหม่ คือ กินอาหารเยอะมาก
ตอนนั้นยังไม่ทันคิดว่าตัวเองกินมากขึ้นอย่างผิดปกติ
มองย้อนกลับไปถึงจะรู้..
อย่างอยากไปซิสเลอร์มากๆ ไปแล้วกินชนิดที่แฟนต้องหยิบหนังสือมานั่งอ่านรอ
กินอิ่มมาก แต่มันยังอยากกินอีกๆๆๆๆๆ
แล้วก็เริ่มมีอาการบ่นอยากกินขนม ซึ่งปกติแล้ว น้อยครั้งมากที่จะบ่น
มีบางวันถึงขนาดที่บอกแฟนว่า จอดรถตรงตลาดหน่อยจะไปหาขนมกิน
แล้วก็หนักขึ้นเรื่อยๆเมื่อกินเพิ่มเป็น 3 เม็ด

พอคุณหมอให้เพิ่มเป็น 4 เม็ด
คราวนี้กินแบบผิดปกติไปเลย แต่ยังไม่ทันได้สังเกตตัวเอง
คิดว่าเป็นPMS ก็ไปเปิดปฏิทินดู ก็ไม่ใช่ งงตัวเอง แต่ก็ไม่ทันคิดอีก
จนกิน 4 เม็ดเข้าสัปดาห์ที่ 2 เริ่มหนักมาก คือ กินตลอด เรียกว่าถ้าไม่หลับก็กิน
ยีนส์ตัวที่เคยหลวม กลายเป็นคับมาก พอไปชั่งน้ำหนัก ปรากฎว่าขึ้น 2 กิโล
กินขนมทุกวัน ทั้งที่ไม่ใช่นิสัย แล้วกินในปริมาณที่เยอะมากผิดปกติ
กินข้าวเสร็จก็อยู่ไม่เป็นสุข เดินหาขนมกินอีก

อาการหน้ามืดบ่อยๆก็ยังเป็นอยู่
จนเริ่มสังเกตว่ามันเริ่มหงุดหงิดง่าย เริ่มเหวี่ยงๆ
เริ่มรู้สึกว่ากินจนหยุดไม่ได้ กินจนแน่นท้องแล้ว ก็หยุดไม่ได้
เอะใจ ถามคุณ @wilasineek (เภสัชกร) จึงได้รู้ว่ายานี้ทำให้เจริญอาหารด้วย
แต่ของเรามันไม่ใช่เจริญอาหารแล้วล่ะ มันเหมือนกินแบบผิดปกติเลย

แล้วก็เริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ คอแห้งผาก ปากแห้ง ตาพร่า เวียนหัว
ยังมีอาการวูบ และกินมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่พอ..ที่หลอนมากๆ คือ
มักจะมองเห็นสิ่งของเคลื่อนที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่มืดๆ
เริ่มมองไม่ชัด มองเห็นข้าวของเป็นสิ่งที่น่ากลัว ขยับได้
มีครั้งนึง เข้าห้องน้ำแล้วไม่ได้เปิดไฟ เพราะอาศัยไฟทางก็มองเห็นแล้ว
มองไปที่ตรงบานพับของประตู มองเห็นมันขยับได้ ขยับไปขยับมา
เหมือนหนอนตัวใหญ่ๆ ที่ค่อยๆคลานขึ้นๆลงๆ ตกใจมาก
เพ่งมองไป ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยังคงขยับอยู่
เลยตัดสินใจ เปิดไฟ แล้วจ้องอีกครั้ง ก็พบว่าแค่บานพับประตูเท่านั้น
เวลานอน แล้วตื่นขึ้นกลางดึก มักจะเห็นเงาอะไรแปลกๆ
เห็นเป็นคนยืนอยู่บ้าง หรือใครมานั่งจ้องบ้าง ตื่นมาก็กลัวนะ
แต่คิดในใจตัวเองว่าตาฝาดเท่านั้น แล้วก็นอนต่อ
บางคืนเห็นเงาข้าวของเป็นคนยืนถือหัวก็มี ก็ผีหัวขาดนั่นแหละ
จริงๆเป็นคนกลัวผีมาก แต่ในตอนนั้นก็ปลอบใจตัวเองว่าตาฝาดๆ
แล้วก็หลับต่อ บอกตัวเองแบบนี้จนชิน ไม่ว่าจะตื่นมาเจออะไรที่น่ากลัว
ก็จะเตือนตัวเองว่าเราตาฝาด มองผิดไป

แต่เราก็ยังคงกินยา 4 เม็ด ทุกวัน ทั้งที่ไม่อยากกินเลย
แถมยังไปหายามากินตามที่เล่า เพื่อรอวันที่จะไปพบคุณหมอ

พรุ่งนี้ (จันทร์ที่ 25 มิถุนา) คุณหมอลงตรวจ
เราคงต้องไปเล่าทั้งหมดนี้ให้คุณหมอฟังแล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณหมอจะให้ทำยังไง
เอาไว้กลับจากโรงพยาบาลแล้ว จะรีบมาเล่าละกันนะคะ



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->   คุณหมอของเรา [9th]


อยู่กับโรค ..ให้ได้ (ตอนที่2)


ตอนนี้เรายอมรับและเริ่มเข้าใจแล้วว่า
คงเป็นไปได้ยากที่เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

เราต้องเริ่มทำอะไรใหม่หลายอย่าง
เรื่องง่ายๆที่น่าจะทำได้ไม่ยาก แต่ยากมาก อย่างการเปิดมือถือ
เหลือเชื่อที่เราปิดมือถือถึง 5 เดือน
เบอร์มือถือหลายเบอร์ เราเริ่มปิดเบอร์ที่คนรู้เยอะที่สุด
ไล่มาเรื่อยๆ จนวันนึงถึงขนาดที่ปิดทุกอย่าง
เรียกว่า ถ้าไม่มาหาถึงบ้าน ก็ติดต่อไม่ได้

เราต้องค่อยๆเปิดมือถือทีละเบอร์
มันยากอย่างเหลือเชื่อ
แต่เราไม่อยากไปกำหนดอะไรแล้ว
ถ้าคิดว่าต้องทำให้ได้ แล้วมันไม่ได้ จะแย่ไปกันใหญ่
ตอนนี้ก็ถึงจุดที่ว่า เราเปิดมือถือทุกเบอร์
แต่จะรับเฉพาะเบอร์ที่มีการบันทึกในContactsเท่านั้น
เบอร์แปลกๆยังไม่รับ
ได้เท่านี้ เท่านี้ก็เท่านี้ค่ะ ค่อยๆทำไป ค่อยๆลองทำดู

เรื่องงานเป็นเรื่องที่ลำบากที่สุด
เพราะมันต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
คนที่นานๆต้องคุยซักครั้ง ก็ไม่เท่าไหร่
แต่คนที่ต้องคุยกันบ่อยๆนี่แหละ กลับทำให้เราลำบากใจ
โดยเฉพาะพนักงานของร้านตัวเอง

การต้องดูไม่เป็นผู้เป็นคนในสายตาลูกจ้างตัวเอง
คงเป็นอะไรที่แย่มากๆ
เราตัดสินใจบอกกับพนักงานของตัวเองว่าป่วย
แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นโรคซึมเศร้า ..มันยากเกินที่หลายคนเข้าใจ
เราบอกไปว่าเป็น ธัยรอยด์
มันดูจับต้องยาก งงๆ ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่คนส่วนใหญ่จะอ๋อๆไว้ก่อน

บอกไปว่าเราต้องกินยาทุกวัน บางวันหนักๆก็อาจจะลืมๆอะไรไปบ้าง
เพราะมันแย่มากเลย ที่สั่งงานไปแล้ว ตัวเองยังจำไม่ได้
การปกครองคน ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เราก็ต้องยอมรับ ยอมเปลี่ยนวิธีการหลายๆอย่างที่เคยใช้ปกครองคน
บางอย่างมันคงไม่เหมาะกับคนที่ป่วย
เราพยายามเป็นเพื่อนร่วมงาน ทำงานซับพอร์ตกันไป
ไม่ใช่เจ้านาย กับ ลูกน้อง
และบางครั้งก็ต้องยอมที่จะผิดพลาดบ้าง ในฐานะเพื่อนร่วมงานคนนึง

เรื่องการรักษา ก็รักษาไปเรื่อยๆ กินยาไปเรื่อยๆ
ก็แอบหวังเล็กๆ ว่าถ้าวันไหนที่เจอยาที่OKกับเราแล้ว
ก็คงจะดีกว่านี้..
ถ้าแค่กินยาเม็ดสองเม็ดต่อวัน ก็ช่างมัน คิดซะว่าเป็นวิตามินละกัน
แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ได้ เพราะ กินยาครั้งละ 6 เม็ด .. แย่หน่อย
แถมผลข้างเคียงของยา ยังรบกวนการใช้ชีวิตค่อนข้างมาก

ตอนนี้เราไม่มีความคิดว่ามันจะหายเมื่อไหร่แล้ว
หลายๆเรื่องเราต้องเริ่มใหม่ เหมือนเด็กหัดเดินเลย
แต่ก็ยอมรับไป อะไรยังทำไม่ได้ ก็ช่างมัน เดี๋ยวมันก็ได้เองซักวัน
ไม่อยากบีบบังคับตัวเองมากไป
เพราะถ้าคิดว่าต้องทำให้ได้ พอไม่ได้ หรือ ทำได้ไม่ดี ก็รู้สึกแย่อีก

จริงๆ ชีวิตแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องกดดันอะไรมาก


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  หนักหนาสาหัส

16 มิถุนายน 2555

อยู่กับโรค ..ให้ได้ (ตอนที่1)


แน่นอนว่า เราป่วยเป็นโรคชื่อยาวๆนี้แล้ว ปฏิเสธอะไรไม่ได้
คุณหมอก็คอนเฟิร์มแล้วเมื่อพฤหัสที่ 5 เมษา
จากวันนั้น นับมาก็ราวๆ 2 เดือน
เราเฝ้าเพียรหาข้อมูลของคนที่ป่วย จนเราเข้าใจอะไรมากขึ้น

นับจากบรรทัดนี้ไป คือ สิ่งที่เราคิดได้
จะถูกหรือผิด เราไม่รู้จริงๆ แต่เราคิดได้แบบนี้

หากคุณหมอของเรา หรือ คุณหมอท่านอื่นได้อ่าน
ช่วยแสดงความคิดเห็นมาทางtwitterหรือทางอื่น
จะขอบพระคุณมากค่ะ ^/\^

สิ่งแรกเลย ต้องยอมรับว่าตัวเองป่วย
ย้ำเลยค่ะว่าต้องยอมรับ ไม่งั้นไปต่อไม่ได้

ทำไมต้องยอมรับ
คิดว่าตัวเองไม่ป่วย แล้วใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้เหรอ ??
เราบอกเลยว่า ไม่ได้
เพราะ การดำเนินชีวิต ต้องเปลี่ยนไปแน่นอน

ถ้าคิดแบบคนไม่ป่วย แล้วฝืนตัวเองว่าต้องทำให้ได้
คิดแบบเดิม คาดคั้นเอาจาก ร่างกาย สมอง หัวใจ
คงพัง!

ในโรคอื่น อาจจะได้
ในร่างกายที่เพิ่งพิการ อาจจะได้
แต่สำหรับคนเป็นโรคซึมเศร้า เราคิดว่าไม่ควร
ไม่ใช่ไม่ได้นะ แต่เราว่าไม่ควร ไม่เป็นผลดีเลย

ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องการเขียนblog
แต่ละหัวข้อ ไม่ได้ยาวมากนัก
เป็นเมื่อก่อนใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ก็เสร็จ

แต่รู้มั๊ยคะ โพสต์ที่ผ่านมา เราใช้เวลา 5 วันในการเขียน
โดยใช้วิธีใหม่ ซึ่งเราไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนตอนที่ไม่ป่วย
นั่นก็คือ ค่อยๆพิมพ์ไปในแต่ละวัน บางวันได้ 2-3 บรรทัด
บางวันก็ได้เยอะหน่อย

ก่อนหน้า ที่เราจะยอมรับความจริง เราพยายามไม่ทำวิธีนี้
พยายามฝืน พยายามเหมือนเดิม
ก็ศักยภาพเรามีนี่นา เราเคยทำได้ง่ายๆ เราต้องทำให้ได้สิ
จบ! พัง!
blogก็ไม่ได้ มิหนำซ้ำ ต้องผิดหวังกับตัวเองที่ทำไม่ได้

จนเรายอมรับความจริงนั่นแหละ ว่าเราไม่เหมือนเดิมแล้วนะ
เราทำแบบนั้นไม่ได้แล้วนะ
เก็บหนังสือประเภท คุณทำได้!! ลงลังบริจาคไปให้พ้นตัวเลย
แล้วค่อยๆทำ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็หยุด เก็บเล็กผสมน้อย
ยอมรับซะ ว่าคนเก่าได้จากไปแล้ว เราต้องอยู่กับตัวเราแบบนี้ให้ได้

อย่างที่เราคุยกับคุณหมอ
แล้วคุณหมอถามเราประมาณว่า คิดว่าจะทำได้มั๊ย
แล้วเราตอบกลับไปว่า จะลองดู
คุณหมอยิ้มบอกว่าดีแล้ว ไม่ต้องคิดว่าทำได้หรือไม่ได้
ตาเราร้อนผ่าว เอ่ยปากขอบคุณคุณหมอเบาๆ คอแห้งผากเลย
เพราะอะไรรู้มั๊ย
เพราะคุณหมอไม่พูดว่า คุณทำได้!!

เราขอยกข้อความที่คุณ ‏@wisaruda ทวีตคุยกับเรานะคะ
ถัดจากวันที่เราไปหาหมอตามนัด แค่ 2 วัน
(คุณ ‏@wisaruda เป็นใคร
ลองไปตามอ่านที่blogนี้ได้เลยค่ะ --> เมื่อต้องอยู่กับชีวิตที่ไม่มีหวัง )

@DEPme แต่เราก็พยายามทำมันไปค่ะ ทำไปจนถึงที่สุดเท่าที่เราพอจะทำได้ ... ก็แค่นั้น
@DEPme แต่คนอื่นจะบอกว่า ไม่ได้ต้องทำให้ได้นะ ทำนองนี้ แต่ก็คิดว่า เขาไม่เข้าใจเรา ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
@DEPme ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เราเป็นจนเราไม่คาดหวังอะไรแม้กับตัวเองน่ะค่ะ เป็นแล้วเราบังคับตัวเองไม่ได้ มันเป็นของมันแบบนี้แหละ

นี่แหละ ใช่เลย
มันเป็นไปตามนั้นเลย คนที่ฝ่าฟันโรคนี้มาจนถึงจุดนึงแล้ว
เข้าใจแล้ว ยอมรับแล้ว ถึงทวีตข้อความแบบนี้ออกมาได้

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ
สำหรับคนที่เคยทำอะไรก็ทำได้
ถึงแม้ว่า จะยอมรับความจริงได้แล้ว
ชีวิต ไม่ได้มีแค่การเขียนblog
ทุกอย่างที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน เราต้องหัดเรียนรู้ใหม่
แม้กระทั่ง การรับโทรศัพท์ การติดต่องาน การสั่งงาน
งานบ้าน การขับรถ มากมายก่ายกองเลยค่ะ

ขอเล่าต่อในตอนหน้า
เพราะค่อนข้างยาว แต่เราก็อยากจะ up blog ตอนนี้แล้ว
^_^
ไม่ต้องรอให้มันสมบูรณ์แบบหรอกเน๊อะ


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  อยู่กับโรค ..ให้ได้ (ตอนที่2)

14 มิถุนายน 2555

ยอมรับความจริง


ขอเอาชื่อทีมน้องๆ ใน Thailand's Got Talent (Season 2)
มาเป็นหัวข้อในblogหน่อย เพราะมันตรงกับความเป็นไปในตอนนี้เลย

โพสต์ที่แล้ว เราบอกคุณหมอไปแล้วว่า
เราไม่ได้คิดอีกแล้ว ..
ว่ามันจะต้องใช้ระยะเวลานานขนาดไหนในการรักษา
เราคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ไปนั่นแหละ

เราอาจจะไม่ได้เจอผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามามากมายเท่าคุณหมอ
แต่ในระยะเวลาตั้งแต่ปลายเดือนมกรา มาถึงตอนนี้ กลางเดือนมิถุนา
เราได้รู้จักคนที่ป่วยเป็นโรคนี้มากมาย
ทั้งจากข้อมูลคนป่วยที่เราได้ค้นหามาอ่าน
ทั้งจากคนที่มาอ่านblogนี้ แล้วไปfollowกันในtwitter
หรือแม้แต่จากคนในtwitterเอง ที่มาเจอกันเพราะชื่อหรือbio

ข้อมูลที่ได้ คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าใช้เวลาในการรักษานานมากทั้งนั้นเลย
คนที่หายเร็ว..
อาจจะเป็นแค่ภาวะซึมเศร้าชั่วคราวจากเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต(รึปล่าว)

หรือเป็นแค่คนที่คุณหมอให้ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า เพื่อรักษาโรคอื่น
เราพบเจอแต่คนที่กินยามาหลายปีทั้งนั้น
เจอ 4 ปี 5 ปี หรือ มากกว่านั้น 7 ปี ก็เคย
ยังไม่นับที่จาก MDD ไปเป็น Bipolar Disorder ก็มี

คนทั่วไป อาจจะคิดว่า คนป่วยเป็นโรคนี้
จะต้องหดหู่ เศร้าซึม เสียใจ สะเทือนอารมณ์ ตามชื่อโรคเท่านั้น

แต่หลายคนไม่รู้เลยว่า ..
คนป่วยโรคนี้หลายๆคนสูญเสียความสามารถในการทำงาน(หรือการเรียน)ไปด้วย
เราจากคนที่อ่านหนังสือได้เยอะๆ เขียนคล่อง จะพูดจากับใครก็มั่นใจ
จะหยิบจับทำงานอะไร ก็คล่องไปหมด ..ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ความจำก็ถดถอยลง จะเขียนอะไรก็รู้สึกติดขัดไปหมด

คนทั่วไปคงไม่รู้ว่า คนป่วยด้วยโรคซึมเศร้า
ต้องทนทรมานกับอาการแบบนี้
คนทำงานก็ลำบากมาก
หลายคนไม่สามารถสื่อสารกับผู้ร่วมงานได้
หลายคนไม่สามารถจะทำงานที่ใช้ความละเอียดรอบคอบได้
คนที่กำลังเรียนอยู่
หลายคนอ่านหนังสือแล้วจำไม่ได้
เขียนงานไม่ได้ ฟังบรรยายไม่ทัน หรือจดไม่ทัน สรุปไม่ได้ ฯลฯ

เรารักษาตัว เพราะคาดหวังว่าตัวเราจะกลับมา
แต่เมื่อถึงวันนี้ เราไม่หวังให้ตัวเองกลับมาแล้ว
เราคนเดิม อาจจะตายจากไปแล้วก็ได้
รอมาหลายเดือน
รอจนเริ่มรู้ว่า..ตัวเราคนเดิม อาจจะไม่กลับมาแล้ว

ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไง อยากจะบอกเลยว่า
อยู่ๆก็เหมือนคนประสบอุบัติเหตุ แล้วเกิดตาบอด
ช่วงแรกๆ ก็รับไม่ไหว และคาดหวังว่าตาอาจกลับมามองเห็น
จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่
อาจจะตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง แล้วมองเห็นเลย
หรืออาจจะผ่าตัด แล้วมองเห็น ฯลฯ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตาก็ยังคงมองไม่เห็น
ต้องใช้ชีวิต ต้องหัดเดิน หัดเข้าห้องน้ำ หัดกินข้าว หัดโทรศัพท์ใหม่  ฯลฯ
แน่นอนที่สุด คนที่ไม่ได้ตาบอดมาแต่กำเนิด
ต้องมาทำสิ่งเดิมที่เคยทำมาตลอด
แต่สิ่งเดิมๆ กลับยากมาก
ทำไม่ได้ ไม่คล่อง หรือ ไม่ดีเหมือนเดิม
ลองคิดดูว่า ว่าจะรู้สึกยังไง
เครียด ขัดใจที่ตัวเองทำไม่ได้เหมือนเดิม ความรู้สึกมากมาย

วันนี้เรายอมรับความจริงแล้ว
ว่าเราเป็นโรคนี้ และเราอาจจะกลับไปเป็นคนเดิมไม่ได้
เราต้องยอมรับ
เหมือนที่คนพิการยอมรับว่าไม่อาจเหมือนเดิมอีก
แล้วต้องพยายามใช้ชีวิตต่อไปให้ได้

เราขอเอาไปต่อในpostถัดไป
ว่าเรายอมรับได้แล้ว แล้วยังไงต่อไป ??


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  อยู่กับโรค ..ให้ได้ (ตอนที่1)


06 มิถุนายน 2555

คุณหมอของเรา [8th]


ห้องตรวจที่นั่งเป็นตัว L เช่นเดิม
คุณหมอเอื้อมไปหยิบแฟ้มเรามา
เปิดๆ อ่านๆ พลางถามว่าเป็นไงบ้าง
เราตอบว่า " เรื่อยๆ " มันขี้เกียจคุยแล้วจริงๆนะ
คิดในใจว่า จ่ายยาเถอะ

คุณหมอวางปากกา เอียงตัวมานิดนึง ถามเรื่องงานทันที
นั่นไง!! คิดในใจ "คุณหมออ่านblogเราชัวร์"
เราก็ตอบไปอย่างที่มันเป็น
ปัญหาหลายอย่างที่..ตั้งแต่ป่วย

มันทำให้เราทำงานที่ใช้สมาธิไม่ได้
แถมยังรวมไปถึงงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์..จบเลย
นี่ยังไม่รวมเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกจ้าง
หรือคนอื่นที่เราต้องดีลงานด้วย
เราก็พูดๆไป ตอบคำถามคุณหมอไป
ไม่ได้หวังให้อะไรมันดีขึ้น แย่ลง หรืออะไรมันเปลี่ยนแปลงหรอก

ถ้าจะบอกว่าคุณหมอดูrelaxขึ้น
มันดูตลกใช่มั๊ย แทนที่คนไข้จะrelaxขึ้น
แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆนะคะ  -"-
คุณหมอดูrelax สิ่งที่ถาม มันดูเป็นการคุย มากกว่าการซัก
คุณหมอไม่จดอะไรเลย หันตัวมานั่งคุย

คุยกันไป คุณหมอก็พูดถึงบันไดเลื่อน
คุยกันยาวนะ แต่เอาเป็นประมาณว่า
ถ้าต้องใช้ " บันไดเลื่อนลง " ในการเดินขึ้น
มันก็เหนื่อย หนัก แย่มากก็อาจจะกลิ้งตกลงมาบาดเจ็บ
ชีวิตเราตอนนี้ ขาลง ว่างั้นเหอะ - -"

เราบอกสิ่งที่เราคิด (ซึ่งจริงๆไม่ได้คิดจะบอกคุณหมอนะ)
เราบอกว่า..
วันที่มาครั้งแรก เราไม่คิดเลยว่ามันจะมาถึงวันนี้
คิดว่าไม่นาน อะไรๆก็คงคลี่คลาย
วันที่พบคุณหมอเป็นครั้งที่2
เรายอมรับแล้วว่า มันคงยาวนาน แต่เราก็คิดไว้แค่ 5-6 เดือน
พอคุณหมอบอกว่าเราเป็น Major Depressive Disorder
วันนั้นเราคิดเลย 2 ปี
แต่วันนี้ เราคิดว่ามัน infinity

เราไม่ได้คิดอีกแล้ว ว่ามันจะต้องใช้ระยะเวลาขนาดไหน
จะบอกว่าหมดหวังก็อาจไม่ถึงขนาดนั้น

เราก็ย้ำกับคุณหมอว่า เราไม่ได้จะหยุดรักษานะ
ไม่ได้จะหยุดกินยา หรือ จะไม่มาพบคุณหมออีก
เราเหนื่อยแล้ว กับการรักษาเพื่อให้ตัวเองกลับมา
วันนี้เราคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ไป
ใช้ชีวิตง่อยๆแบบนี้แหละ ค่อยๆไป
ไม่ใช่ไม่เข้าใจนะ ว่าชีวิตมีขึ้นมีลง
แต่เราไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องราวพวกนี้จะจบลงเมื่อไหร่

เราก็คงต้องไปทั้งๆแบบนี้แหละ ชีวิตเราพังมามากแล้ว
จะนั่งรออยู่ตรงตีนบันไดเฉยๆ ก็คงไม่ไหวแล้ว
คงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคแบบนี้ ว่าจะอยู่ยังไง
คุณหมอยิ้ม ถามเราประมาณว่า คิดว่า จะทำได้มั๊ย
เราบอกว่า ก็จะลองดู

คุณหมอบอกว่าดีแล้ว
ไม่ต้องคิดว่า จะทำได้ หรือ ทำไม่ได้
ก็จำที่บอกเมื่อกี้ ที่ว่าจะลองดู
เราก็บอกคุณหมอว่า ขอบคุณมากค่ะ
เหมือนน้ำตามันพุ่งจากต่อมไหนไม่รู้ มาเอ่อในตา
แต่ไม่ได้ร้องไห้ แค่ตามันร้อนไปหมด

แล้วคุณหมอก็หันหน้าไปดูที่แฟ้มพลางพูดไปพลางว่า
ที่คุยๆไป ไม่ต้องไปจำมากก็ได้ (อะไรประมาณนี้แหละ)
ประมาณว่า ถ้าจำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปจำ
จำแค่ ความรู้สึกเมื่อกี้ ที่บอกว่าจะลองดู

-"- (เราขมวดคิ้วทันที)
คิดในใจว่า " อ่าวววว คุณหมอ!! "
คือ ทุกครั้งที่เขียนblogเกี่ยวกับคุณหมอ
เราจะมึนๆงงๆตลอด ว่าคุณหมอพูดอะไรบ้าง
เวลาเล่า ก็มักจะบอกว่า จำไม่ค่อยได้
แสดงว่าคุณหมอคงอ่านblogแน่ๆ
รู้สึกเหมือนโดนแซวเล็กๆ แต่ก็หายกัน
เพราะเราก็เขียนถึงคุณหมอซะเยอะ
จนคนอื่นเค้าจินตนาการคุณหมอไปถึงไหนๆ
โดยที่คุณหมอไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ โอเค หายกันนะ!!

คุณหมอดูแฟ้ม แต่เราคุยต่อ (ไหนว่าจะไม่คุย)
เราบอกไปว่า ตอนนี้ เวลาใครมีทุกข์ใจเรื่องอะไรมาบอกเรา
เราจะใบ้รับประทาน ไม่รู้ว่า ควรจะพูดอะไรออกไปดี
ควรจะเฉยๆ ควรจะอือออ หรือ ควรจะคุยอะไร

ที่เราต้องบอกเรื่องนี้กับคุณหมอ เพราะ..
เดิม เราเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาปรึกษาบ่อยมากตั้งแต่เด็กๆเลย
เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ เวลาใครทุกข์ใจอะไรมาเล่า
เราไม่รู้ว่า เราควรจะทำยังไง มันแปลกมาก
ที่อยู่ๆ เหมือนทักษะด้านนี้หายไปเลย

คุณหมอ พูดประมาณ ก็ไม่ต้องอะไร
รับฟังเฉยๆ ไม่รู้จะพูดอะไร ก็ไม่ต้องพูด
ตอนนี้ต้องดูแลตัวเองก่อน
แล้วคุณหมอ ก็พูดประมาณว่า
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เราเป็นตัวของตัวเอง
คนอื่นก็ให้เค้าแก้ปัญหาของเค้าไป
เราก็พึมพำว่า " ป่วยเนี่ยะนะ คือ การเป็นตัวของตัวเอง "
คุณหมอตอบว่า " ก็เป็นแล้วครับ ไม่ใช่คนอื่นเป็น "
-"-

จริงๆเราคุยกับคุณหมออีกหลายเรื่องเลย
แต่คงเล่าไม่หมด
การมาหาหมอตามนัดครั้งนี้ ถ้าไม่นับการรอร่วมครึ่งวัน
เป็นครั้งที่เรารู้สึกว่า..เราhappyนะ
เหมือนเราได้มานั่งคุยกับเพื่อน
เพื่อนคนเดียวที่ไม่ได้ป่วยแบบเรา แต่พอจะเข้าใจเรา
จริงๆแล้ว คุณหมออาจจะไม่เข้าใจหรอก
แต่คำพูดที่พูดออกมา ไม่ได้หักความรู้สึกกันเกินไป

คุณหมอไม่เคยพูดว่า
อย่าไปเครียด อย่าไปคิด ปล่อยวาง ..อะไรพวกนี้
เราเคยเจอคำพูดของคุณหมอหลายอย่าง
ที่ไม่เป็นฟอแมทของคนทั่วๆไปเค้าพูดกัน (ซึ่งก็ไม่รู้จะพูดเพื่ออะไร)

อย่างเคยเล่าอะไรซักเรื่องให้คุณหมอฟัง
คุณหมอก็คุยๆ แล้วพูดว่า " ไม่ใช่ไม่ให้คิดนะครับ "
อือ ก็ถูกแล้วไง คนไม่คิดอะไรเลยเนี่ยะ น่าจะเป็นคนตายนะ
แต่คนทั่วไป ชอบปลอบคนอื่นว่า อย่าไปคิดมาก
หรือ เราเคยเล่าเรื่องที่เราขว้างของ
คุณหมอไม่พูดอะไรเลย นอกจากบอกว่า " ยังอีกเยอะ "
ไม่ได้บอกว่าเราควรทำยังไง ไม่ห้าม ไม่บอกวิธีแก้ไข
กลับบอกว่า สงสัยจะเก็บไว้มาก .. ซะงั้น
แต่กลายเป็นว่า..มันดีกว่ามานั่งบอกว่าเราควรทำยังไง

แล้วคุณหมอก็ดูแฟ้ม พลางพูดว่า
" อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของหมอสินะ "
คุณหมอสั่งปรับยาตัวล่าสุดให้กินเพิ่มขึ้นอีกเม็ดนึง
แล้วก็อธิบายเรื่องยานิดหน่อย
จากที่เคยให้เพิ่มยามา เป็นเวลา 2 สัปดาห์
มันยังไม่ค่อยโอเค จะขอดูต่ออีก

นัดครั้งหน้าคุณหมอไม่ได้ลงตรวจวันพฤหัสแล้ว
แต่เป็น จันทร์ กับ ศุกร์ แทน เราขอเป็นวันศุกร์
คุณหมอให้เลือก ระหว่าง 15 กับ 22 ว่าจะมาวันไหน
-"- เง้ยยยย เลือกได้ด้วย
เราขอเป็นวันที่ 22 เพราะเห็นคนไข้เยอะเหลือเกิน
รวมทั้งเราก็อยากให้โอกาสยา ให้โอกาสตัวเอง ซักนิด
เผื่อมันจะมีอะไรดีขึ้น แต่เพื่อ..ไม่ให้คิดไปเอง ก็เลยถามว่า
มันต้องเป็นอีก 2 สัปดาห์มั๊ย คุณหมอบอกว่าเลทไปก็ได้

คุณหมอเขียนใบสั่งยา เราก็บ่นพึมพำไปว่า เบื่อกินยาแล้ว
จากที่เคยกินแล้วเฉยๆ เดี๋ยวนี้ชักเริ่มกินแล้วติดคอ
คุณหมอเขียนพลางพูดพลางว่า
" เลือกกินเฉพาะยาที่เกี่ยวกับอารมณ์ก็ได้ครับ "
-"- เอ่อ ก็ยาทั้งสามตัวเนี่ยะ มันระบุว่ารักษาโรคซึมเศร้าทั้งหมด
ยานอนหลับ ยาแก้คลื่นไส้ เราก็ไม่ได้กินนานแล้ว
สรุปว่าเราก็ต้องกินทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหรอ

กินก็กิน ถ้าสั่งให้ลดตัวไหน หรือเลิกกิน ก็ค่อยว่ากัน
เป็นสี่เดือนจากตลอดชีวิตที่เรากินยาอย่างเคร่งครัด ไม่เคยขาดซักวัน
อาจจะลืมบ้าง เลทบ้าง แต่ไม่มีวันไหนที่ไม่กินเลย
แต่ความอยากหายของเราที่ผ่านมา
มันก็ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะโรคนี้อยู่ดี


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ยอมรับความจริง


01 มิถุนายน 2555

โลก(ไม่)สวย


พฤหัส ที่ 31 พฤษภา 2555  วันนัด

เป็นวันนัดที่เราเกิดความรู้สึกไม่อยากไปโรงพยาบาลอย่างรุนแรง
ตั้งแต่ลืมตาตื่น แม้กระทั่งระหว่างอาบน้ำแต่งตัว
มีความคิดว่า ไม่ไปได้มั๊ย ผุดออกมาตลอด
แต่ในที่สุดก็ต้องไป เพราะ..
ถ้ารอไปอีกสัปดาห์ ยาที่เหลือจะไม่พอ

ตามความเข้าใจเราคือ ยาโรคซึมเศร้า
มันไม่ได้กินตามอาการ แบบยาแก้ปวด กินเมื่อปวด
แต่ยามันจะทำงานได้ตามหน้าที่ของมัน..เราต้องกินต่อเนื่อง
เราเข้าใจตามนี้นะ ..อาจจะผิดก็ได้
แต่ก็เป็นเหตุที่ทำให้เราต้องไปหาหมอตามนัดให้ได้

อีกเหตุผลนึงก็คือ วันนี้น้องฟ้า น้องที่เราเคยเล่าในblog
ก็ต้องไปหาหมอตามนัดเหมือนกัน
ทำให้เรารู้สึกว่ามีนัด 2 นัดเลย
แล้ววิญญาณความเป็นพี่ก็ทำงานอย่างแข็งขัน
เหมือนเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี "พี่ไม่เบี้ยวนัดคุณหมอน้า"
-"-

น้องมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับนิดหน่อย
ซึ่งตอนนี้อยู่ในความดูแลของคุณหมอแล้ว
และน้องก็นอนหลับได้ เราก็โล่งใจ

อยากให้คนที่อ่าน เห็นว่า
การมาพบคุณหมอที่จิตเวชเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ
ปัญหาเล็กๆน้อยๆอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่โตได้
ถ้าเราปล่อยปละละเลยมันไป
ยิ่งน้องๆในวัยเรียนด้วย
เดี๋ยวมันจะไปกระทบการเรียน ทำให้เครียดไปกันใหญ่

เราไปถึงโรงพยาบาล 9.25 น. เพราะเวลานัดคือ 10.30 น.
เป็นครั้งแรกที่มาหลังคุณหมอ - -"
เดินตามหลังคุณหมอไปติดๆเลย
และมั่นใจว่า น้องฟ้าคงเป็นคิวแรก เพราะเวลานัด 8.30 น.

ชั่งน้ำหนัก ยื่นบัตรนัด วัดความดันอะไรเสร็จก็นั่งรอ
วันนี้คนเยอะมากๆอีกแล้ว เก้าอี้แทบไม่พอนั่ง
รอจนน้องฟ้าเดินออกมา
ก็เลยได้ยืนเม้าส์กันนิดหน่อย ก่อนน้องลงไปรับยา

พอน้องออกไป ความคิดฝ่ายมารเริ่มบังเกิด
อยากจะกลับซะเดี๋ยวนั้นเลย
มันเหนื่อย เบื่อ ที่จะรอ บิ้วท์โลกสวยก็ไม่ไหว
เพราะรอนานจริงๆ จน 11.30 น.
คุณพยาบาลก็เรียกไปรอหน้าห้องตรวจ
ซึ่งมีคนนั่งรออยู่ 4 คน ไม่รวมที่เพิ่งเข้าไปนะ
แล้วหลังจากเราอีก 3 คน

ทั้งเบื่อ ทั้งเซ็ง ทั้งหิว เต็มที่แล้ว
รู้สึกเหมือนลูกโป่งที่กำลังจะแตก
แต่ความคิดอีกส่วนนึงก็คือ
ท่องไว้ๆ คุณหมอก็น่าจะหิวเหมือนเรา
จะบิวท์ว่าคนที่รอก็หิวคงไม่ได้
ก็ถัดจากเราไปเนี่ยะ ญาติไปซื้อข้าวกล่องเซเว่นมาให้
นั่งกินกันหน้าห้องตรวจตรงนั้นเลย เพราะเที่ยงกว่าเข้าไปละ

คนไข้เข้าไปเท่าไหร่ มีคนไข้ใหม่มาเติมท้ายแถวไปเรื่อยๆ
จนถึงขนาดที่ต้องพยายามไม่มอง

ความคิดตอนนั้น อยากจะเข้าไปแล้วบอกคุณหมอว่า
"สั่งยาเลยเถอะค่ะ"
ตั้งใจจะไม่คุยอะไรให้มากความ
นอกเหนือจากเรื่องกินยาแล้วเป็นยังไง
รวมทั้งต้องปรับยาอะไรใหม่รึเปล่า

กะว่า คุณหมอชวนคุยเรื่องอื่นก็จะไม่คุยแล้วล่ะ
อยากกลับให้เร็วที่สุด

แต่..พอพบคุณหมอจริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นไปแบบนั้น


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [8th]


24 พฤษภาคม 2555

(น่าจะ)ยังเหลือ


ไม่เป็นไรนะ ถ้าตอนนี้แกยังไม่สะดวกที่จะคุยก้อไม่เป็นไร 
เรื่องเจ็บป่วยแบบนี้ เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน 
แกเป็นคนเก่ง หลายเรื่องแย่ๆ แกผ่านมันมาได้เลย
เรื่องนี้ชั้นก้อมั่นใจนะ ว่าแกก้อผ่านมันไปได้แน่นอน
ชั้นเป็นคนหนึ่ง ที่พร้อมอยู่ข้างแกเสมอนะ
และเมื่อไหร่ที่แกโอเค 
อยากให้ชั้นทำแกงส้ม ทำขนมจีนแกงเขียวหวานให้กิน ก้อบอกนะ
ก้อย

นี่คือ ส่วนหนึ่งของข้อความที่ได้จากเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ
ถึงเวลานี้ก็คงร่วม 20 ปีแล้ว
เพื่อนคงใช้ความพยายามมากในการจะติดต่อเรา
เราปิดมือถือเบอร์ที่เพื่อนส่วนใหญ่ติดต่อได้มาราว 4 เดือนแล้ว
จนสุดท้ายที่เพื่อนติดต่อได้ เราก็ยังขอที่จะไม่คุยด้วยเสียง แต่เล่าทางตัวอักษรคร่าวๆ

คนที่ป่วยด้วยโรคทางจิตเวชหลายคน ต้องสูญเสียอะไรมากมายในชีวิต
หลายคนสูญเสียงาน สูญเสียเพื่อน สูญเสียคนรัก
หลายคนก็สูญเสียทุกอย่าง แม้กระทั่ง "ชีวิต"

วันนี้ เวลานี้ เราสูญเสียความเข้าใจจากครอบครัวไปแล้ว
และอาจจะสูญเสีย งาน และ เงิน จากปัญหาหลายๆอย่างในรอบหลายเดือนนี้
มันทำให้เราอาจจะต้องตัดสินใจปิดกิจการของตัวเองที่สร้างมากับมือ

วันนี้เรายังเหลืออะไรบ้าง ??

เพื่อน

นอกจาก "ก้อย" เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก
เรายังพอเหลือเพื่อนในปัจจุบันอีกบ้าง
ขอบคุณที่พยายามเข้าใจ
ถึงแม้บางครั้งจะเข้าใจยาก แต่ไม่ทอดทิ้งเราไปไหน

ขอบคุณเพื่อนรุ่นพี่ "พี่ยุ้ย" ที่อยู่กับเราเสมอมาทั้งสุขและทุกข์
ขอบคุณเพื่อนรุ่นน้อง "ทราย" ที่เข้าใจว่าใครๆก็เป็นโรคนี้ได้

มิตรภาพบนTimeline
blogนี้ ทำให้เราได้พบกับมิตรภาพบนโลกออนไลน์
จากที่นี่ เชื่อมไป twitter หรือ จาก twitter เชื่อมมายัง blog นี้

เราไม่รู้จะอธิบายยังไงดี 
ทั้งคนที่ป่วยเหมือนกัน
ทั้งญาติผู้ป่วยที่เข้าใจ และคอยมาให้กำลังใจ
ทั้งหลายๆคนที่ได้มาอ่าน และพยายามทำความเข้าใจ
ถึงแม้จะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ยังคงให้กำลังใจ

คุณหมอ 

คุณหมอ ก็เป็นอีกหนึ่งที่เราน่าจะยังเหลือในชีวิตนี้
4 เดือนเต็มกับความพยายาม ความเอาใจใส่ต่อคนไข้
4 เดือนเต็มกับการพบปะพูดคุยกัน
เราไม่รู้จะอธิบายยังไง 
นอกจากความปรารถนาที่อยากรักษาคนป่วยให้หายตามหน้าที่แพทย์แล้ว
เรายังสัมผัสได้ถึงมิตรภาพจากคุณหมอในฐานะคนๆนึง

คนรัก

นี่คืออีกหนึ่ง ที่เรายังพอจะเหลืออยู่ ณ วันนี้  
นับว่าเรายังโชคดี 


เราไม่รู้ว่าเราจะประคับประคองความสัมพันธ์ไปได้นานแค่ไหน
แต่วันนี้ เค้าก็ยังอยู่ 
มันไม่ง่ายเลย ที่จะอยู่กับคนป่วยโรคซึมเศร้า
แค่เราจะดูแลประคับประคองตัวเองให้หายใจต่อไปในแต่ละวันก็ยากแล้ว
เราไม่อาจดูแลความรัก ความสัมพันธ์ ให้ดีได้เหมือนเดิม 
ทุกอย่างมันดูเปราะบางพร้อมจะแตกเป็นเสี่ยงไปหมด 

อย่างน้อย วันนี้ก็ขอบคุณที่ยังไม่ปล่อยมือ เดินจากไป

ลมหายใจ

เราอาจจะสูญเสียอะไรหลายอย่างไปแล้ว 
และ อาจกำลังจะสูญเสียอีกหลายอย่าง 

แต่อย่างน้อย เราก็ยังเหลือลมหายใจ 
ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ .. เราก็ต้องสู้ต่อไป   

+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  โลก(ไม่)สวย


20 พฤษภาคม 2555

คุณหมอของเรา [7th]


บ่ายโมงจะครึ่งแล้ว ก็ยังไม่ได้พบคุณหมอ
คนไข้นัดเช้าก็หมดแล้ว ท้องเริ่มร้องคร่อกๆ
ได้เห็นภาพแผนกจิตเวช ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
คือ ไม่มีคนเลย


เรารอ..คิดว่าทรมานแล้ว
แต่คุณหมอสิ เราเห็นตรวจมาตั้งแต่เก้าโมงครึ่งยังไม่หยุดเลย
คิดแบบนี้ ก็ลดความเบื่อในการรอลงไปได้บ้าง

จริงๆเราคิดว่า คุณหมอสามารถมองแป๊บเดียว
ว่าเหลือคนไข้กี่คน แล้วบริหารเวลา เร่งให้เสร็จเร็วก็ได้นะ
แต่คุณหมอไม่ทำ อันนี้ทำให้เราประทับใจคุณหมอของเรามาก
คุณหมอคงดูเป็นเคสๆไปมากกว่าว่าควรใช้เวลาขนาดไหน

บ่ายครึ่งแล้ว เราก็หิว คุณหมอก็คงหิวเหมือนกัน
ถ้าซื้อข้าวเข้าไปนั่งคุยกันไปกินข้าวกันไปได้ ก็น่าจะดีนะ - -"

ถึงคิวเราปุ๊บ เราก็นั่งลงแบบเหนื่อยๆ
แล้วพึมพำว่า คุณหมอไม่หิวข้าวเหรอคะ
คุณหมอก็ก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้ม พลางบอกว่า
"ตรวจให้เสร็จก่อนครับค่อยไปกิน"

คุณหมอก็สอบถามอาการทั่วไปหลังจากเพิ่มยา
เราก็เล่าไปงั้นๆ เหนื่อยๆเพลียๆ บอกไม่ถูก
ท้อแท้ และไม่รู้ว่าอีกนานมั๊ยที่มันจะสิ้นสุดเรื่องราวพวกนี้
คุณหมอปรับยาให้
อธิบายว่ายาโรคซึมเศร้าเนี่ยะ มันมีหลายกลุ่ม
ตัวที่เรากินมาร่วม 3 เดือนน่ะ มันคงไม่ค่อยโอเคกับเรา
คุณหมอปรับลดตัวนี้ลง แล้วให้เพิ่มตัวใหม่ขึ้นมา
จากเดิมที่ให้กิน 1 เม็ด ก็เพิ่มเป็น 2 กินไป 7 วัน ให้เพิ่มเป็น 3 เม็ด
เรางงๆ ก็ขอให้อธิบายอีกรอบเพื่อความแน่ใจ
เรื่องกินยามันเรื่องสำคัญ ก็ถามซะให้เข้าใจไปเลย

ครั้งนี้เป็นการพบเจอคุณหมอครั้งที่ 7 แล้ว
เจอกันบ่อยยิ่งกว่าเพื่อนสนิทอีก เราก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
คุณหมอก็สอบถามสารทุกข์สุกดิบไปเรื่อยๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้
เราก็จำไม่ได้ว่าอยู่ๆมาถึงประโยคนี้ได้ยังไง

คุณหมอบอกว่า เรากำลังโกรธ!
อยู่ๆน้ำตารื้นขึ้นมา จนถึงขั้นกลั้นไม่อยู่
ไม่ได้คิดว่า จะมาร้องไห้ต่อหน้าคุณหมอเลย
ไม่ได้คิดจะคุยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ
ครั้งนี้เราร้องไห้หนักมาก ถึงขั้นร้องไห้จนน้ำมูกไหลเลย
เสียจริตจริงๆ - -"

เราเปิดกระเป๋าคว้าผ้าเช็ดหน้า เช็ดน้ำตาน้ำมูกปนกันหมด
คราวนี้มีผ้าเช็ดหน้าเป็นของตัวเองละ
ไม่ได้จงใจเตรียมมา แต่เปลี่ยนกระเป๋า แล้วผ้ามันอยู่ในนั้น
ยังไม่ได้ใช้ ก็เลยไม่เอาออก

เราก็คงกำลังโกรธจริงๆนั่นแหละ
ทั้งที่ดูภายนอก คงไม่มีใครรู้ แม้แต่ตัวเราก็จำกัดความไม่ได้
เราก็พูดไปหลายเรื่องให้คุณหมอฟัง
รวมทั้งปล่อยโฮไปกับความรู้สึกที่ว่า
ไอโรคนี้เนี่ยะ มันจะหายมั๊ย
จริงๆแล้ว เราเป็นคนทำให้มันเกิด หรือ มันเกิดเอง หรืออะไรยังไง
คุณหมอยังคงยืนยันคำพูดเดิมว่า หาย

คุณหมอนัดถี่ขึ้นกว่าทุกครั้งที่มา
เพราะครั้งนี้ นัดอีก 2 สัปดาห์เลย
เราคิดว่า ถ้าไม่เพราะดูผลของยาที่ปรับใหม่
ก็คงเพราะ เราดูแย่ลงกว่าเดิมล่ะมั้ง

แถมคุณหมอยังบอกว่า "พฤหัสหน้าหมอไม่อยู่ มีประชุม"
ถ้ามีอะไร แล้วต้องการมาก่อน ก็มาพบคุณหมอท่านอื่นได้
เราพูดสวนทันทีว่า "คงไม่มาหรอกค่ะ"
เพราะ เรารู้ว่าถึงขั้นนี้ เราอดทนได้
เรื่องผลข้างเคียงของยา เราผ่านมาหมดแล้ว มันชินซะแล้ว

เรานึกขึ้นมาได้ว่ายาตัวใหม่ที่เรากินมันทำให้หน้ามืดอยู่พักนึง
คือ เวลาลุกนั่งยืนเดิน มันจะเหมือนสติดับวูบไป 3-4 วินาที
หน้ามืด ชาไปถึงปลายเท้า เวลาเปลี่ยนอิริยาบทก็เลยต้องระวัง
คุณหมอบอกว่า มันเป็นผลข้างเคียงของยาตัวนี้จริงๆ
แต่เราก็ยืนยันว่า เราชินแล้วแหละ ไม่กี่วันมันก็ดีขึ้น
ถึงตอนนี้ จะต้องเพิ่มยาเป็นสามเท่าตัว ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร

หลังเรา คุณหมอก็ยังมีคนไข้อีกคนนึง
เฮ้ออออ น่าสงสารคุณหมอจริงๆ
ตอนนั้นบ่ายสองกว่าๆไปเท่าไหร่เราก็จำไม่ได้
เรายังไม่ได้กินข้าว ..แค่ใช้พลังงานไปกับการนั่งรอเฉยๆ ก็หิวจะแย่
คุณหมอก็ยังไม่ได้กินข้าว ..แต่ตรวจมาตลอดตั้งแต่เช้า
คงเลยคำว่าหิวไปหลายเท่าตัวแล้วล่ะ



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->   (น่าจะ)ยังเหลือ


ความสวยงามในชีวิต


พฤหัส ที่ 17 พฤษภา 2555 วันนัด

ครั้งนี้พี่ที่เราสนิท ก็มาตรวจตาที่รามาด้วย
ตอนเช้าก็เลยเฮฮาร่าเริงเป็นพิเศษ

พอพี่เค้าเข้าห้องตรวจ เราก็ไปที่จิตเวช ซึ่งไปก่อนเวลานัดถึง 2 ชั่วโมง
วันนี้นอกจากมีนัดกับคุณหมอแล้ว
ยังมีนัดกับน้องที่ได้รู้จักกันจากblogนี้
เราและน้องฟ้าไม่เคยเจอกันมาก่อน ได้แต่คุยกันทางtwitter
ขออนุญาตน้องฟ้าแล้วนะคะ ที่จะเอ่ยชื่อในblogนี้

เดินสวนกับน้องตอนไปวัดความดัน
เราจำได้ทันที เพราะเคยเห็นรูปน้องมาแล้ว แต่ไม่ได้ทัก
กลับมานั่งรอ แล้วก็ทวีตคุยกัน ว่านั่งอยู่ข้างหลังน้องฟ้าแหละ
จนมีที่ว่างเลยมานั่งคุยกันเพลินๆ ฆ่าเวลากันไป เพราะวันนี้รอนานมาก

เรารู้สึกเป็นห่วงน้องฟ้าตั้งแต่คุยกันทางtwitter
รวมทั้งเป็นห่วงน้องๆที่กำลังเรียนอยู่หลายคน
หากรวบรวมสมาธิไม่ได้ อ่านหนังสือแล้วไม่จำ หรือ นอนไม่ค่อยหลับ
คงเป็นอุปสรรคต่อการเรียนมากเลยทีเดียว
ล่าสุดน้องบอกกับเราว่า ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับ

แอบภาวนาให้น้องฟ้าได้ตรวจกับคุณหมอของเรา
จนคุณพยาบาลเรียกชื่อน้องฟ้าไปรอหน้าห้องตรวจ 7
เราโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ
เพราะเราเห็นว่าวันนี้คุณหมอของเราตรวจที่ห้องนี้

เรายังคงนั่งรอไปเรื่อยๆ
คุณพยาบาลก็ยังไม่เรียกให้ไปรอหน้าห้องตรวจซักที
ก็คิดว่า คงเป็นรอบหลังจากเรียกน้องฟ้าไปแล้ว
เพราะหน้าห้องตรวจก็รอกันอยู่หลายคิว

พี่ตรวจตาเสร็จแล้ว ก็มาหาเราที่จิตเวช
คุยกันจนคอแห้ง ก็ยังไม่เรียก
จนใกล้เที่ยง..
คุณพยาบาลก็เรียกให้เราไปนั่งรอหน้าห้องอื่นซึ่งไม่ใช่คุณหมอคนเดิม
เราก็ เอ๊ะ งงๆ แต่ก็ปากหนัก ไม่ได้ถามคุณพยาบาลว่าทำไมถึงเปลี่ยนหมอ
ส่วนน้องฟ้าก็ยังรออยู่หน้าห้องเหมือนเดิม ยังไม่ได้พบคุณหมอซักที

รอจนผ่านไป 3 คิว นานกว่าครึ่งชั่วโมง
พอเข้าห้องตรวจปุ๊บ เอาแล้ว
คุณหมอพลิกแฟ้มไปมา งงๆ
บังเอิญคุณพยาบาลมาเคาะห้องพอดี คุณหมอก็เลยบอก
นี่คนไข้ของคุณหมอXXนี่นา วันนี้คุณหมอXXก็ลงตรวจนะคะ
มือก็ยังพลิกแฟ้มไปพูดไปว่า ตรวจกับคุณหมอXXตลอดนี่นา
แป่ว!!

ในที่สุดเราก็ออกมานั่งรอหน้าห้อง 7 อีกครั้ง
อย่างอ่อนระโหยโรยแรง เพราะมีอีก 3 คิว
ยังไม่รวมน้องฟ้าที่กำลังคุยกับคุณหมอในห้อง
เราเลยเดินไปบอกพี่ว่า ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้
ผิดพลาดทางเทคนิค คงอีกนานทีเดียว

น่าจะไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง น้องฟ้าเดินออกมา
เราถามไปว่า คุณหมอโอเคมั๊ย
น้องพยักหน้ารัวๆ แววตาของน้องฟ้า บอกทั้งหมดโดยไม่ต้องพูดเลย
เรามีความสุขขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ ณ เวลานั้น
สีหน้าของน้องบอกทุกอย่าง
เรารู้และเข้าใจความรู้สึกนั้นดีโดยไม่ต้องอธิบาย
ประโยคที่ว่า "คุณหมอดีมาก"

นี่เป็นหนึ่งในความสวยงามในชีวิตของเราช่วงนี้
เราทำblogนี้ขึ้นมา ไม่ได้นึกว่า จะมาถึงจุดนี้เลย
ได้พูดคุยกับหลายๆคนที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าเหมือนกัน
ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชอื่นๆ รวมทั้งคนที่รู้สึกว่าตัวเองควรพบจิตแพทย์
หรือแม้กระทั่งญาติคนป่วย
ในความป่วยไข้ ก็ยังมีความสวยงามอยู่
ต่างคอยให้กำลังใจกันเสมอ ช่วยกันปลอบใจยามท้อ
หรือแม้แต่ปรึกษากันในเรื่องการรักษา การกินยา เรื่องจิปาถะอื่นๆ

ซักวันจะเขียนเรื่องนี้ ^_^

+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [7th]

16 พฤษภาคม 2555

Deep


ช่วงเวลาราวสิบกว่าวันหลังกลับจากต่างจังหวัด
ซึ่งเรารู้สึกดีมากในช่วงแรกๆ
จนนึกไปถึงขั้นที่ว่า..
ตัวเองกลับมาแล้ว
อีกไม่นานคงได้ลดยา และเลิกกินในที่สุด
(ถึงแม้จะอีกนาน แต่ถ้ามันได้เริ่ม ก็ถือว่าดีมากแล้ว)

เพียงแค่เจอเหตุการณ์อะไรนิดหน่อยที่ทำให้แย่
เราก็ดิ่งตกเหวลงไปเลย
แล้วมันขึ้นไม่ได้จนบัดนี้

เราก็กินยาตามปกติ
จนเมื่อกี้ยาตัวนึงก็หมดพอดี
เพราะคุณหมอจะจ่ายยามาแบบพอดีๆกับวันนัด

พรุ่งนี้คือวันที่คุณหมอนัด
เราบอกความรู้สึกไม่ถูก
มันไม่ใช่อยากไปหรือไม่อยากไป
มันก็เหมือนกินยา
ถึงไม่อยากกิน ก็ต้องกิน

หลายวันก่อน เรารู้สึกว่าอยากให้ถึงวันนัดเร็วๆจัง
แต่พอถึงวันนี้แล้ว
เราก็รู้สึกว่า..แล้วยังไงเหรอ
3 เดือนกว่าแล้วที่เรากินยา ใช่!มันดีขึ้นบ้าง
เวลาเราตกวูบลงไปในเหว
เรายังไต่ขึ้นมาง่ายหน่อย ใช้เวลาน้อยลง
แต่มาถึงวันนี้..
มันกลับแย่กว่าเดิมคือ
ตกเหวไปแล้ว เราไม่หาทางขึ้นอีกแล้ว
เพราะเราเหนื่อย ขึ้นไปแล้วก็ตกลงมาใหม่อยู่ดี

สู้นอนเล่นอยู่ตรงนี้..ก้นเหว
ค่าเท่ากัน?


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ความสวยงามในชีวิต


11 พฤษภาคม 2555

เรี่ยวแรง


จากการที่ไปพบคุณหมอครั้งล่าสุด
และคุณหมอเห็นว่ามันนิ่งเกินไป(มั้ง)
ก็เลยเพิ่มยาให้กินอีกหนึ่งตัว
คุณหมอบอกว่า จะทำให้มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้น

กินยาตัวใหม่เพิ่มได้ราว 5 วัน
เราก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด 3 วัน
เป็น 3 วันที่เรารู้สึกว่า ตัวเองกลับมาแล้ว
เราไม่รู้สึกเวียนหัว จะวูบเลย (ทำไม?)
เราไม่รู้สึกคลื่นไส้เลย (ทำไม?)
เราไม่รู้สึกเหนื่อย เบื่อ เซ็ง เลย..

สิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า มีแค่การกินยาเท่านั้น
นอกนั้นเราไม่รู้สึกอะไรเลย




นิสัยเรา เวลาไปเที่ยว จะลืมเหนื่อย
ใช้เวลาคุ้มมาก นอนดึกตื่นเช้ามืด
คึกมาก หลังจากเที่ยวจะสลบไปหนึ่งวันเลย(เป็นประจำ)


ครั้งนี้เราก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
นี่ถ้าคนไม่เคยไปเที่ยวกับเรามาก่อน
แล้วรู้ว่าเป็นโรคซึมเศร้า อาจคิดว่าเราเป็น Bipolar Disorder รึปล่าว

ยิ่งได้ไปในป่าในเขาเนี่ยะ
มีความสุขมาก นั่งดูน้ำ ดูฟ้า ดูต้นไม้
ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ




กลับมาเรารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าแล้ว
รู้สึกเหมือนตัวเรากลับมา
แอบดีใจมาก

แต่ชีวิตมันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ 
^_^


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  Deep


29 เมษายน 2555

คุณหมอของเรา [6th]


พฤหัส ที่ 26 เมษายน  2555

เจอคุณหมอแบบเพลียๆ เพราะรถติดมากจริงๆ
แต่ก็ไปถึงก่อนเวลานัดเป็นชั่วโมงนะ
คนเยอะมากเหมือนเดิม เริ่มท้อหน่อยๆ

คุณหมอถามว่าเป็นยังไงบ้าง
เราก็ตอบว่า เรื่อยๆ
คือ มันเรื่อยๆจริงๆ สำหรับ 20 วันที่ผ่านมา
ตั้งแต่นัดครั้งที่แล้ว ชีวิตมันราบเรียบมาก

เราก็บอกไปว่า มันจะประมาณนี้ (ทำมือไปด้วย)
คือ ถ้าไม่มีอะไรมา มันก็เรียบๆเฉยๆนิ่งๆ
แต่ถ้ามีอะไรเข้ามา ตกวูบ ก็ขึ้นเร็ว 

ไม่เหมือนแต่ก่อน ช่วงกินยาแรกๆ มันจะเป็นแบบนี้เลย
อย่างที่เคยบอกคุณหมอไปแล้ว
ตอนนั้น พอตกวูบ แล้วมันจะขึ้นยากมาก กว่าจะไต่ๆขึ้นมา
ใช้เวลานาน

แต่มันไม่มีแบบกราฟพุ่งขึ้นผิดหูผิดตาอะไร
ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเข้ามา ก็เฉยๆ 

แล้วคุณหมอก็มีคำถามนึงถามเราว่า
ชอบแบบไหนมากกว่ากัน ระหว่าง นิ่งๆเฉยๆ กับ ตกวูบลงไป

คำถามนี้ อาจจะดูแปลกนะ สำหรับคนทั่วไป 
ใครก็ต้องคิดว่า จะบ้าเหรอใครก็ต้องชอบนิ่งๆสิ
ไม่ใช่ตกวูบลงเหวไปแบบนั้น 

คำถามนี้ของคุณหมอมันทำให้เราได้คิดแว๊บนึงก่อนตอบ
แล้วทำให้มีโอกาสได้บอกอะไรอีกหลายอย่าง
เราตอบว่าไม่ชอบทั้งคู่
คุณหมอมองหน้า แล้วถามว่า ทำไม 
เราบอกว่า มันไม่ใช่ตัวเราทั้งคู่ เราต้องการตัวเราคืนมา  

มันคือแค่นี้จริงๆนะ 
ความต้องการของเรา ณ เวลานี้ คือ 
ขอชีวิตเดิมๆคืนมา ขอความเป็นตัวของตัวเองคืนมา
แบบนี้มันไม่ใช่ตัวเรา 

เราก็พูดต่อว่า 
เดิมก็ไม่ใช่คนขยันอะไรมากมายนัก 
แต่ตอนนี้ จะทำอะไร มันเหนื่อย มันต้องใช้แรงเยอะ 
มันต้องรวบรวมพลังชีวิตมาก กว่าจะทำอะไรแต่ละอย่างได้
ไม่ใช่ขี้เกียจนะ มันอยากทำ แต่มันทำยากมาก
เราก็อธิบายไม่ค่อยถูก แต่ดูเหมือนคุณหมอจะเข้าใจ 

คุณหมอบอกเราว่า จะให้กินยาเพิ่มอีกตัวนึง
เป็นยารักษาซึมเศร้าเนี่ยะแหละ แต่ทำงานคนละแบบกัน 
เราแอบถอนหายใจเฮือกนึง เบาๆ 
เหนื่อยกับการกินยาเหลือเกิน แต่ทำอะไรไม่ได้ 

ไม่ใช่เราไม่รู้ ตลอด20วัน มันนิ่งเกินไป 
มันไม่แย่ลง แต่มันไม่ดีขึ้น 
ยังแอบคิดเลยว่าคุณหมอจะให้เพิ่มปริมาณยาตัวเดิมรึเปล่า
จากตอนแรกที่กินเม็ดเดียว มาเป็น2เม็ด ต้องเพิ่มเป็น3มั๊ย -"- 
พอมาได้ยินว่าให้กินยาเพิ่มอีก ก็ไม่ถึงกับผิดคาดมากนัก 
แค่เป็นยาตัวใหม่เท่านั้นเอง 

เราไม่ลืมที่จะให้ข้อมูลว่า
ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะช่วงนี้เราพักเยอะรึเปล่า
เพราะทุกคนอยากให้เราพักผ่อน 
มีคนมาดูแลร้านแทนเราชั่วคราว
แต่เราก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะทำอะไร ทั้งที่ว่างทำได้แล้ว
เมื่อก่อนไปไม่ได้ เพราะติดที่ร้าน ยังอยากไปไหนมาไหน
แต่นี่ กลับไม่อยากจะไปไหนเลย
อันนี้ เราไม่แน่ใจว่า มันทำให้20วันที่ผ่านมาของเรา นิ่งเกินไปรึเปล่า 
เราคิดว่า การแจ้งข้อมูลกับคุณหมอให้ครบถ้วน 
สำคัญมากทีเดียว เพราะคุณหมอจะได้วินิจฉัยถูก 
แล้วคุณหมอก็ขอนัดอีก 3 สัปดาห์ จะได้มาดูผลกันอีกครั้ง
ว่ายาที่ให้กินเพิ่ม ให้ผลเป็นยังไง 

แต่เราก็ลืมบอกคุณหมอไปนะ ว่า20วันถัดไปจากนี้
เงื่อนไขมันเปลี่ยนไปจากเดิม 
เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เราจะรู้สึกดีขึ้นจากยารึเปล่า
มีคนดูแลงานให้ชั่วคราวแล้ว เราเลยจะไปเที่ยวต่างจังหวัดราวสัปดาห์นึง 

เราไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดนานมากเลย
ไม่นับว่า ตั้งแต่ไปหาหมอเนี่ยะ ไม่เคยไปไหนไกลๆเลย
แล้วยังเหตุการณ์ปีที่ผ่านมา 
มันทำให้เรายกเลิกทริปที่วางไว้หลายครั้ง
ทั้งที่จองทุกอย่างไว้หมดแล้ว ไม่ว่าเครื่องบิน ที่พัก รถเช่า 
เนื่องจากว่า ปีที่แล้ว แม่ของแฟนเราเป็นมะเร็งอาการไม่สู้ดี
พอใกล้ๆจะไป แกทรุดลง เราก็ต้องยกเลิกทริป 
เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนเราไปเที่ยว 
ปีที่แล้ว เราทิ้งไป8ไฟล์ท ทั้งที่จองไว้จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว 

พอปลายปี ก็มีสถานการณ์น้ำท่วมที่ทำให้เครียดเกิดขึ้นอีก 
ต้องคอยตามข่าวตลอด ไหนจะร้าน ไหนจะบ้าน
(โชคดี น้ำไม่ท่วมร้าน แต่บ้านอยู่ไม่ได้ ทางเข้าท่วมหมด)
อพยพไปอยู่ชลบุรี ก็ได้ไปเที่ยวในชลบุรีบ้าง
แต่มันไม่ใช่การพักผ่อนหรือท่องเที่ยว มันเครียดนะ

ยาตัวใหม่ที่ได้มา คุณหมอบอกว่า 
มันจะทำให้เรามีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรมากกว่านี้ 
แต่เราก็ไม่มั่นใจนะ ว่าเราจะวัดผลมันได้รึเปล่า
เพราะสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไป 
เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวตั้ง6-7วันแหน่ะ 
ถ้าดีขึ้น ก็ไม่แน่ใจว่าเพราะยา หรือ สิ่งแวดล้อมกันแน่ 

up blog ครั้งต่อไป
จะมาเล่าเรื่องระหว่างไปเที่ยวละกันนะคะ 
แต่เพื่อไม่ให้ผิดคอนเซ็บ
เราคงเล่าในแง่มุมที่เป็นความรู้สึกนึกคิด ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า 
ถ้าเราได้ไปเที่ยวไกลๆ ออกจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆบ้าง
เราจะรู้สึกนึกคิดยังไง อารมณ์จะเป็นยังไง 

มาเพิ่มเติม^^ ยกเลิกทริปยาว6-7วันแล้วค่ะ 
เพราะอาการหลังกินยา ไม่ค่อยสู้ดีนัก หน้ามืดหลายครั้ง
เลยไปใกล้ๆ 2-3 วันก็พอ ^_^

+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  เรี่ยวแรง



27 เมษายน 2555

"นอยด์" น้อยๆ


อาการนอยด์รับประทาน เกิดขึ้นทุกครั้งหลังพบคุณหมอ
(ใครจะใช้คำว่านอยด์XXXX ก็โอเคนะคะ ตามนั้นเลย) >_<



พฤหัส ที่ 26 เมษายน  2555 วันหมอนัด

นี่เป็นการพบคุณหมอครั้งที่6
คงมีครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้นที่ออกจากห้องตรวจ แล้วไม่นอยด์
แต่พอเอาชื่อยามาเสริซก็ .. แทบบ้าไปเลย 555

หลังจากนั้น
ครั้งที่2 พอเห็นใบสั่งยา ยาตัวเดิม นอยด์....
ครั้งที่3 คุณหมอสั่งกินยาเพิ่มเท่าตัว นอยด์....สิคะ
ครั้งที่4 ไปขอยานอนหลับ คุณหมอให้กินยาซึมเศร้าเพิ่มอีกตัว นอยด์....
ครั้งที่5 คุณหมอบอกว่า เป็นโรคซึมเศร้า ..คงไม่ต้องบอกว่าเป็นไง

ครั้งนี้..ครั้งที่6 คุณหมอสั่งเพิ่มยาซึมเศร้าอีกตัว หึหึ

เรานั่งรอคุณพยาบาลออกใบนัดแบบคอตกทุกครั้ง
แล้วลงไปรอรับยาแบบหดหู่ทุกครั้งไป
ไม่เคยจะจำได้ว่าลงบันไดมาชั้นล่างยังไง เดินสวนกับใครไปกี่คน
มันเป็นความรู้สึกซ้ำๆ

ลอยๆ เหมือนวิญญาณออกจากร่าง
ยังดีหน่อยตรงที่ช่วงหลังๆ..
ระหว่างรอรับยา ก็จะหยิบTabletมานั่งอ่านไปด้วย
อย่างครั้งนี้ โชคดีที่ได้คุยทางทวิตเตอร์กับน้องม.2ที่กำลังจะขึ้นม.3
น้องเค้าอยากเป็นนักจิตวิทยา
เราก็เลยคุยเพลินๆไป บอกให้ตั้งใจเรียน
และใช้ชีวิตเยอะๆ ถึงเวลาเลือกก็จะได้รู้ว่าตัวเองชอบจริงรึเปล่า

การได้คุยกับคนอื่น มันดึงความรู้สึกกลับมา
จะมาล่องลอย นอยด์รับประทานอยู่ก็ไม่ได้
ครั้งนี้รอยานานมากกกกกกก
ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร อาจจะเพราะคนไข้เยอะมากก็ได้

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกนะคะ หลังจากกินโรแอคฯแล้ว
ไม่มีครั้งไหนที่เราจะไม่เอาชื่อยามาเช็คในเว็บ

ปกติ ก่อนกินยาอะไร เราจะเช็คทุกครั้ง
ด้วยเว็บ Ya & You  ว่ารักษาอะไร ผลข้างเคียงเป็นยังไง
แต่ครั้งนี้ ถึงเวลาเราก็กินเลย
หยิบมันมามองอยู่ 5 วินาที อืม สีสวยดีนะ เขียวเชียว -"-
แล้วถอนหายใจเสร็จก็ตัดสินใจกินเลย

จะว่าหมดอาลัยตายอยาก ก็ไม่ถึงขนาดนั้น
แต่ไม่รู้จะเช็คไปทำไมแล้ว คุณหมอก็บอกมาเรียบร้อย
ว่าเป็นยารักษาซึมเศร้านี่แหละ แต่ทำงานคนละแบบกัน
สรุปเราต้องกินยารักษาซึมเศร้า ถึง3ตัว

แล้วยังไงล่ะ ก็ต้องกิน ไม่มีทางเลือก
เราอยากหาย ตัดสินใจที่จะไว้ใจหมอ ให้เวลายา ให้เวลาตัวเอง
เดินมาทางนี้ ก็ต้องไปให้สุดทางสิ
เราจะไม่ยอมเดินย้อนกลับ
เอาไว้ให้ไปจนสุดทาง พบว่าเป็นทางตัน หรือเป็นเหว
ค่อยว่ากันอีกที ขืนเดินย้อนไปย้อนมา ไม่ต้องถึงไหนกันพอดี
เน๊อะ ^_^

โพสต์หน้าเราจะมาเล่าเรื่องที่คุยกับคุณหมอนะคะ
เดี๋ยวจะยาวเกินไป


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [6th]

22 เมษายน 2555

จิตแพทย์


เป็นคนป่วย มาเขียนหัวข้อจิตแพทย์ก็ดูแปลกๆนิดนึง
แถม..ไม่เคยมีความรู้ในสายงานสาธารณสุขแม้แต่นิดเดียว
แต่..ขอเขียนในฐานะคนป่วยคนนึง
รู้เท่าที่พบเจอมา และ ได้พูดคุยสอบถามคนรู้จักที่เคยพบจิตแพทย์นะคะ

จิตแพทย์ ก็ คือแพทย์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วง่ายๆ >_<
คนจะเป็นจิตแพทย์ ก็ต้องจบคณะแพทย์ แล้วมาต่อสาขาเฉพาะ
ไม่มีอะไรยากเกินจะเข้าใจนะคะ เพราะจิตแพทย์ต้องสั่งยา
ยา ก็ต้องมาจากแพทย์เท่านั้น คนอื่นสั่งไม่ได้

การมาต่อเฉพาะทางจิตเวชเนี่ยะ
คุณหมอเค้าไม่ได้ไปนั่งเรียนกันอย่างเดียว เค้าก็ลงตรวจด้วย
คราวนี้ ก็พอจะนึกออกแล้วใช่มั๊ยคะว่า โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์
ในแผนกจิตเวช ก็จะมีคุณหมอที่มาต่อเฉพาะทางจิตเวชตรวจคนไข้ด้วย

ทีนี้ ใครที่มีความคิด ว่าชั้นจะต้องตรวจกับอาจารย์หมอเท่านั้น
(มีคนคิดอย่างนี้จริงๆ เรากล้าพูด เพราะเจอมากับตัว เยอะมาก)
เราไม่แนะนำให้ไปโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์นะคะ
เพราะคุณจะมาเลือกไม่ได้ คนไข้เยอะมากค่ะ
แนะนำให้ไปโรงพยาบาลเอกชน หรือ โรงพยาบาลอื่นๆ
โดยอาจจะโทรไปสอบถามก่อนก็ได้

หลังจากที่เรากลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชแล้ว
ทำให้เรารู้ทันทีว่า การยอมรับในตัวคุณหมอ สำคัญมาก
ต่อให้คุณหมอท่านนั้น เก่งขนาดไหน มีอะไรมายืนยันความเก่งมากมาย
แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ยอมรับ จบกันเลย

เรากล้าเขียนอย่างนี้
แม้ว่าจะมีประสบการณ์พบเจอกับคุณหมอแค่ 5 ครั้งเท่านั้น
ครั้งแรกๆ แม้เราจะพูดคุยกับคุณหมอนานพอสมควร
แต่เราก็ไม่ได้เปิดใจอะไรนะ เราเฉยๆ
มองคุณหมอเป็นแค่เพียง แพทย์ที่สามารถจ่ายยาให้เราเท่านั้น
ณ เวลานั้น เราคิดเพียงแต่ว่า ถ้าหลับได้ อะไรๆคงดีขึ้น
ไม่ได้คิดว่าการพูดคุยกับคุณหมอจะเกิดอะไรเปลี่ยนแปลงได้หรอก
แต่เราก็ไม่มีความรู้สึกต่อต้านแม้แต่นิดเดียว มันเฉยๆมากกว่า

ในครั้งที่2 เราเริ่มยอมรับ
การที่เราน้ำตาเอ่อต่อหน้าคนๆนึงที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งที่2
แสดงให้เห็นว่าเราเปิดใจระดับนึงแล้ว
ครั้งนั้นเราคุยด้วยความเหน็ดเหนื่อย
แต่ไม่ต้องใช้ความพยายามในการคุยเหมือนวันแรก
มันเรื่อยๆ ตามความรู้สึก อะไรไม่รู้ ก็ไม่อยากจะคิดมาก ตอบว่าไม่รู้จริงๆ
ถ้าไม่ไหว ก็ไม่คิดจะหาคำตอบ เพียงเพราะเกรงใจคุณหมอ
เรารู้เลยว่าครั้งนั้นเรายอมรับคุณหมอแล้วล่ะ

แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ
ขอกระโดดข้ามมาหลังจากพบคุณหมอเป็นครั้งที่3
เราเกิดความรู้สึกกลัว กลัวว่าเราจะติดคุณหมอ
อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เราเริ่มมีความรู้สึกลังเลในการรักษานะ
ยิ่งตอนนั้นเรารู้สึกว่า โอเค คุณหมอคนนี้เคมีเข้ากับเราละ
แล้วเจอคนอื่นๆที่บ่นให้เรารู้เกี่ยวกับการไม่ยอมรับหมอของพวกเค้า
เราเริ่มหวั่นใจ กลัวว่าเราเปิดใจรับคุณหมอและรู้สึกพึ่งพิงเกินไปรึเปล่า
ถึงขนาดที่เราไปนั่งsearchหาข้อมูลเรื่อง Therapeutic Relationship กันเลยทีเดียว
(ไม่แน่ใจว่าควรใช้คำภาษาไทยว่าอะไรถึงถูกต้อง ถ้าทราบแล้วจะมาวงเล็บไว้นะคะ)
อ่านเยอะมาก จนเริ่มมีความมั่นใจว่า เราไม่ได้ยึดคุณหมอเป็นที่พึ่งพิง
แต่เป็นการยอมรับคุณหมอจริงๆ
หลังจากนั้น เราก็สบายใจมากขึ้นกับการรักษา

จริงๆ เราไม่อยากใช้คำว่าเรา"โชคดี"เท่าไหร่นัก
ว่าเราเจอคุณหมอที่ทำให้เรายอมรับได้ไม่ยาก
แต่เราว่า มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆแหละ
เพราะเราไม่สามารถระบุได้ว่าจะเจอคุณหมอท่านไหน
(แต่ที่อื่นอาจจะระบุได้นะคะ โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน
หรือ แม้แต่โรงพยาบาลรัฐ คนที่เรารู้จักก็คุยกับพยาบาล
ขอเลือกเพศคุณหมอ ก็ได้ตามนั้นจริงๆ)

อยากเล่าถึงคุณหมอของเรานะคะ
เราคิดว่าการที่เราเปิดใจยอมรับได้ไม่ยากนัก
นอกจากวัยที่ไม่ได้ต่างกันมากเกินไป
ทำให้ เวลาเราสื่อสารเรื่องราวอะไรออกไป มันคุยกันง่ายขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าวัยห่างเกินไปแล้วจะยอมรับไม่ได้นะคะ
เราว่า การพูดคุย ก็ทำให้เข้าใจกันได้

ยกตัวอย่าง เราเคยเล่าให้คุณหมอฟังว่า นอนไม่หลับ
เลยหยิบTabletมาเล่นเกมส์ อยากให้ตามันล้าๆจะได้หลับซะ
ถ้าเป็นคุณหมอที่คนละวัยกัน เป็นผู้ใหญ่กว่ามากๆ
อาจจะคิดว่าเราติดเกมส์รึเปล่า ซึ่งจริงๆไม่ใช่เลย
เราไม่ได้อยากจะเล่น เกมส์มันน่าเบื่อจะตาย ถอดไพ่ไปเรื่อยๆ
เพียงแต่เราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ที่จะให้มันหลับลงได้
เลยใช้สายตาเยอะๆเพื่อให้ตามันล้า
คุณหมอก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น
เพราะเรามั่นใจว่า คุณหมอก็เคยเล่นเกมส์ และแยกแยะคนเล่นเกมส์กับติดเกมส์ได้

ส่วนเพศ อันนี้เรามั่นใจเลยว่า คุณหมอที่รักษาเราไม่ควรเป็นเพศเดียวกับเรา
เราจะได้ฟังมุมมองของคนต่างเพศ อย่างน้อย ก็เวลาเล่าเรื่องแฟน

นอกจาก เพศ และ วัย แล้วที่ทำให้เรายอมรับคุณหมอได้ง่าย
อีกสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือ ตัวตนของคุณหมอเอง
..คุณหมอเป็นคนรับฟังคน
หลายคนอาจจะคิดว่าจิตแพทย์ก็ต้องฟังคนไข้สิ ขอบอกว่าไม่เสมอไปนะคะ
อันนี้ ไว้เราเก็บข้อมูลจากคนป่วยคนอื่นๆได้มากกว่านี้จะเล่าให้ฟัง

เราคิดว่า คุณหมอของเรามีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะเป็นจิตแพทย์จริงๆ
และเรามั่นใจว่า คุณหมอของเราจะเป็นจิตแพทย์ที่เก่งคนหนึ่งของเมืองไทย
การเลือกมาต่อด้านนี้ ไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายนัก
ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในวงการนี้ก็เถอะ
คุณหมอที่มาต่อทางจิตเวชต้องมีใจรักจริงๆ
แถมแค่ใจรักคงยังไม่พอ
นิสัย ทัศนคติ และ บุคลิกภาพส่วนตัวก็ต้องเหมาะด้วย
นี่คงเป็นทางของคุณหมอแล้วจริงๆ

เราเขียนมายาวมากเลย แถมสรุปไม่ลง
แต่อยากจะฝากไว้ว่า
ถ้าใครไปพบจิตแพทย์ครั้งแรกๆ แล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
อย่าเพิ่งรีบตัดสิน
เปิดโอกาสให้คุณหมอ เท่ากับเราเปิดโอกาสให้ตัวเอง
ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้ตัวเอง คงยากที่เราจะหายจากโรคนะคะ
คุณหมอก็อยากให้คนไข้ตัวเองหายทั้งนั้นแหละค่ะ
อาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย
อย่าปิดโอกาสตัวเองนะคะ




อันนี้เอามาขำๆ..
ต่างประเทศกับเมืองไทย ต่างกันนะ >_<















+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  "นอยด์" น้อยๆ