18 กรกฎาคม 2555

คุณหมอของเรา [10th]


จันทร์ ที่ 9 กรกฎา 2555

ราวๆ 9 วันที่ผ่านมา หลังจากที่คุณหมอปรับลดยาให้
อาการหน้ามืด ตาพร่า หายไปเลย
ผลข้างเคียงอื่นๆ ก็ลดน้อยลงไปเยอะพอสมควร
แม้จะยังกินจุเหมือนเดิม แต่โดยรวมก็ดีขึ้นมากค่ะ
พอถึงวันนัด เราก็ไปแบบชิลล์ๆ แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้
ระหว่างทาง มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่มาก จนน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

เดินขึ้นไปที่แผนกจิตเวช ก็ยังหยุดร้องไม่ได้
แวะไปเข้าห้องน้ำซักพัก น้ำตาก็ยังไหลตลอดเวลา ก็เลยช่างมันละ
รีบเข้าไปชั่งน้ำหนัก หย่อนใบนัดใส่กล่อง แล้วไปนั่งรอ
รอไปก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไป วันนี้ได้เป็นคิวแรกของคุณหมอ
ก็ไปนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจคนเดียว ยังร้องไห้ไม่หยุด
คุณหมอเดินถือแฟ้มมาแล้วเรียกชื่อ เราก็เดินก้มหน้าเข้าไป
คุณหมอเห็นสภาพนั้น ก็พูดประมาณว่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย
เราก็ไม่พูดอะไร ก้มลงหยิบทิชชูซับน้ำตาต่อ

สถานการณ์ในห้องตกอยู่ในความเงียบ
คุณหมอถามอะไรมา เราก็ไม่ตอบ
เราอยากจะหยุดร้องไห้ด้วย แต่มันหยุดไม่ได้
พูดไม่ออก เสียงมันอยู่ในคอ หายใจไม่ออก เพราะน้ำมูกไหลอีก
จำได้ว่า ประโยคแรกที่เราพูดไป คือ " อาจจะไม่มาแล้วนะคะ "
แล้วเราถามไปอีกประมาณว่า ถ้าหยุดกินยาจะเป็นยังไง
คุณหมอก็ไม่ตอบ หรือ ตอบก็ไม่ตรงคำถามนี่แหละค่ะ

คุณหมอถาม เราไม่ตอบ เราถามคุณหมอ คุณหมอไม่ตอบ
ตามดูกันต่อไป จะคุยกันรู้เรื่องมั๊ย

คุณหมอถามอาการหลังจากที่ปรับยาลงไปราว 9 วัน
คราวนี้เริ่มคุยกันซะที -"- เราก็หยุดร้องได้แล้ว
บอกไปว่า อาการที่มันเคยเกิดขึ้น อย่าง วูบ หน้ามืด ตาพร่า ดีขึ้น
มือสั่นเวลาเขียนหนังสือ ก็ดีขึ้น แต่ยังกินเยอะเหมือนเดิม
เรื่องอารมณ์ที่รู้สึกว่า ฉุนเฉียวง่าย ก็ดีขึ้น
แต่เราก็เข้าใจนะ การที่เรานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้แล้วบอกว่าดีขึ้น
มันก็ยังไงๆอยู่

คุณหมอพยายามถามว่า แล้วที่ร้องไห้วันนี้มันเป็นเพราะอะไร
มันแย่มากๆ ร้องเอง หรือ เจอเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ร้อง
เราก็ตอบว่าเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ร้อง แต่โดยรวมดีขึ้น

ครั้งนี้ เรานั่งมองบนโต๊ะคุณหมอ ไม่ได้มองหน้า คุยไปมองโต๊ะไป
คุณหมอซักเรื่องงาน ว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ ทำได้น้อยลง ไม่อยากทำ
คุยเรื่องนี้กันอยู่นาน เราก็มองหน้าบ้าง มองโต๊ะบ้าง

แล้วคุณหมอก็กลับมาถามเรื่องที่ทำให้ร้องไห้วันนี้
ถึงจุดที่เราพร้อมจะเล่าแล้วด้วย
เราก็เล่าๆไป จนถึงความรู้สึกที่ไม่อยากจะรักษาต่อแล้ว
แม้กระทั่งคิดจะเปลี่ยนโรงพยาบาลไปรักษาใกล้บ้าน
แต่สรุปสุดท้าย เราก็บอกคุณหมอไปว่า ก็คงจะมานั่นแหละ
เราต้องรักษาตัวเพื่อจะทำงานได้เต็มที่ซะที
แล้วก็คงมาที่นี่แหละ เพราะเราไม่ไหวกับการต้องไปเริ่มต้นใหม่

ครั้งนี้คุณหมอให้คงยาไว้ในปริมาณเดิมก่อน
คุณหมอบอกประมาณว่า ปรับยาบ่อยๆมันก็ไม่ดีกับร่างกายนัก
เราถามคุณหมอไปว่า ยาพวกนี้มันมีผลต่อไตรึปล่าว
เพราะเราก็ลืมไปแล้ว ว่าตอนที่มาครั้งแรกเราได้แจ้งไปว่าเป็นนิ่วในไตมั๊ย
คือ วันแรกมันกรอกเอกสาร รวมทั้งตอบคำถามเยอะไปหมด
จนเราจำไม่ได้ว่าแจ้งไว้รึปล่าว
คุณหมอก็เปิดๆแฟ้มดู แล้วบอกว่า เดี๋ยวจะดูเรื่องค่าไตด้วย

คุณหมอถามว่า "มีอะไรจะถามหมอมั๊ย"
เราได้แต่ส่ายหน้าเป็นพัดลม
มันไม่รู้จะถามอะไรจริงๆ
มันเหนื่อยมากๆ เหนื่อยทั้งกาย ทั้งใจ
อยากพัก อยากเอนตัวลงนอนอย่างเดียวเลย



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ไม่ค่อยสู้ดีนัก

08 กรกฎาคม 2555

จ่ายยาผิด


ขอออกตัวก่อนนะคะ ว่าไม่มีเจตนาตำหนิใคร
เพราะเรื่องแบบนี้ มันมีโอกาสผิดพลาดกันได้
ที่มาเล่าในblog เพราะอยากให้เป็นอุทาหรณ์กับผู้ป่วยทุกคน
จะได้ตรวจสอบยาของตัวเองที่ได้รับมาอย่างละเอียดทุกๆครั้ง

หลังจากพบคุณหมอก็ลงมารับยาตามปกติ
เหลือบมองในใบสั่งยาก็เห็นมียา 2 รายการ
ยื่นใบสั่งยาแล้วไปนั่งรอ จนเห็นชื่อขึ้นบนจอ
ก็เดินไปจ่ายเงิน แล้วไปเข้าคิวรับยา

พอรับยาเสร็จ เราก็มานั่งเก็บของ พวกใบเสร็จรับเงินอะไรพวกนี้ลงกระเป๋า
แล้วก็หยิบยามาดู ก็มียา 2 ซอง ตัวนึงก็เป็นยาที่เรากินตั้งแต่ครั้งแรก
แต่อีกตัวนึงมันไม่ใช่ ก็งงเล็กน้อย
เพราะคุณหมอก็บอกเราว่า จะให้เราลดยาตัวนี้ จากที่กิน 4 เป็น 2 เม็ด
เอ๊ะ ทำไมมันชื่อไม่เหมือนเดิม หรือ คนละยี่ห้อล่ะ
หรือเป็นยาของคนอื่น? ดูชื่อ ก็เป็นชื่อเรา
แล้วยาอีกตัว ก็เป็นยาที่เรากินอยู่ นั่งงงๆ มึนๆ
ก็ยังคิดไปอีกนะว่า หรือเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่นที่มันคล้ายกัน
ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไม ไม่เดินไปถาม (อาจจะคิดว่าไม่น่าผิด)
หรือ ทำไมไม่เข้าไปเช็คใน app YaAndYou เหมือนเดิม
ชื่อยามันค่อนข้างจะคล้ายกันนะ แต่ตรงมิลลิกรัม มันไม่ใช่เลย
รู้สึกตะหงิดๆ แต่ก็ยังจะคิดไม่ว่ามันไม่น่าจะผิด

เปิดtwitter ถามคุณ  @wilasineek (เภสัชกร)
ว่าได้ยาชื่อนี้มา มันเป็นยาตัวเดียวกันเหรอ
แต่ก็ไม่ได้คิดว่า คุณ  @wilasineek จะตอบกลับมาทันที เพราะว่าเป็นเวลางาน
อีกอย่าง หลายคนก็ไม่ได้เปิด Notification ไว้ จะได้รู้ว่ามีข้อความ
เช่น ตัวเราเองเลย เวลาที่มีใคร Mention มา หรือ ส่งข้อความมา เราก็ไม่รู้หรอก
จะรู้ก็ตอนมาเปิดเอง เพราะปิดที่เตือนไว้ทั้งหมด

พอส่งข้อความเสร็จ เราก็เดินออกจากห้องยา จะเดินไปเซเว่นหาอะไรกินอีก
คือ ปกติก็จะกลับเลยนะ แต่วันนั้นมีนัดบ่ายสามที่เซ็นทรัลพระราม 9
แล้วหาหมอเสร็จเร็วกว่าที่คิดเยอะ ก็เลยยังคิดไม่ออกว่าจะไปไหนต่อ
เดินไปได้ครึ่งทาง ก็ตัดสินใจออกจากรพ.เลยละกัน
ไปนั่งกินกาแฟรอเพื่อนที่ห้างดีกว่า เลยหยิบTabletมาเพื่อจะส่งข้อความ
ก็เลยเห็นข้อความของคุณ @wilasineek  ส่งมาบอกว่า
ยาผิดนะนั่น -"- รีบกลับไปห้องยาเลย ให้เค้าตรวจสอบให้ใหม่ บอกว่าไม่เคยกินยาตัวนี้
โฮ T_T อารายเนี่ยะ รีบเดินจ้ำๆกลับไปห้องยา

ก็แจ้งจนท.ที่อยู่ตรงช่องจ่ายยา
เรื่องใหญ่ล่ะทีนี้ เค้าต้องปิดเคาน์เตอร์ไปช่องนึงเลย T_T
ค้นใบสั่งยาในกล่องกันใหญ่ ซึ่งก็เยอะมาก
พอเจอ ก็มุงกัน 3 คน หัวชนกันเลย -"- อ่านชื่อยา
ส่วนเราก็ยืนทำหน้ามึนอยู่ตรงนั้น ฟังเค้าเถียงกันไปมา
ซักพักเค้าเลยบอกว่า เดี๋ยวเช็คให้ ไปนั่งรอก่อนก็แล้วกัน

รอจนเค้าเรียก แล้วให้เราเอาเอกสารไปขอรับเงินคืนที่การเงิน
เพราะยาที่จ่ายผิด มันเม็ดละ 9 บาท
แต่ยาที่คุณหมอสั่ง มันเม็ดละ 1.50 บาทเอง -"-
ก็วิ่งวนไปวนมาอยู่ 2-3 รอบ
จนได้ยาที่ถูกต้องมาซักที จนท.ก็หยิบมาเปิดให้ดูว่ากินตัวนี้ใช่มั๊ย
แล้วก็ขอโทษขอโพยอยู่ 2-3 ครั้ง เราก็บอกไม่เป็นไรๆ

แต่ระหว่างทางที่กลับ เราก็ขนลุกเลยนะ
เพราะมันคิดไปว่า ถ้าเป็นคนที่เค้าไม่สงสัย หรือว่าได้ยาหลายตัว
ได้ยากลับไป ก็คงกินตามที่จ่ายมาให้ แล้วจะเป็นไง
อย่างเรานี่ ยาตัวเดิม มันอาจจะมีผลด้วยถ้าหยุดยากะทันหัน
แถมยาตัวที่ผิด เป็นยาลดความดันโลหิต ถ้าเรากินไปจะเป็นไงเนี่ยะ

อยากให้ทุกคนที่ต้องไปหาหมอ
ให้ความสำคัญเวลาที่เภสัชกรจ่ายยาดีๆ ดูให้ดีว่าเป็นยาที่เราเคยกินรึเปล่า
ถ้าไม่ใช่ก็รีบถามไปเลย หรือสงสัยว่ายาที่ได้มาเป็นยาอะไรก็ถามเลยนะคะ

พรุ่งนี้ถึงวันนัดอีกแล้ว
กลับมาแล้วจะมาเล่านะคะ ^_^



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [10th]

02 กรกฎาคม 2555

คุณหมอของเรา [9th]


ศุกร์ ที่ 29 มิถุนา 2555

ตกลงก็ได้พบคุณหมอเสียที ห่างจากวันนัดเดิม 1 สัปดาห์
ครั้งนี้เท่ากับไปไม่ตรงนัด กะว่า วันนี้รอถึงบ่ายแน่ๆ
เลยจัดเต็ม ซื้อขนม น้ำ กาแฟ นิตยสาร มารอ
แต่ปรากฎว่า เป็นคิวที่ 3 ง้งงง

พบคุณหมอแบบชิลล์ๆ
5 เดือน ครั้งนี้เจอกันเป็นครั้งที่ 9 แล้ว
เจอบ่อยกว่าเพื่อนหลายๆคนอีกค่ะ  -"-
เราก็เล่าเรื่องราว 1 เดือนที่ผ่านมา ที่เราเข้าใจว่า น่าจะเป็นผลข้างเคียงของยา
อย่างเรื่องกินเยอะ คุณหมอก็พยายามให้เราอธิบาย
ไอที่ว่าเยอะ มันเยอะขนาดไหน
ซึ่งถ้าเราเล่าได้หมด คุณหมอคงช็อคแน่ๆ
แล้วเราก็เล่าว่า เรารู้สึก หงุดหงิดง่าย เหวี่ยง อารมณ์เสีย
คุณหมอก็ให้เล่าอีก ว่ามันยังไง

เราพยายามไล่ๆว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับอารมณ์ความรู้สึก
ซึ่งเราไม่รู้ว่า มันเกิดเพราะยารึเปล่า
คุณหมอตัดสินใจปรับลดยา จากเดิมให้กิน 4 เม็ด เหลือแค่ 2 เม็ด
เรายิ้มกริ่ม เพราะตัวจะปริอยู่แล้ว จากการกินเยอะ จนน้ำหนักขึ้นตั้ง 2 กิโล

ดีใจได้แว๊บเดียวก็หลอน
คุณหมอบอกว่า ยาตัวนี้อาจมีผลอย่างที่เราเป็นมา 1 เดือน
แต่จากที่คุณหมอซักเราหลายเรื่อง+การเป็นผู้ป่วยจิตเวชมา 5 เดือน
เรารู้สึกว่าคุณหมอคงเฝ้าระวัง Bipolar Disorder
แล้วคุณหมอก็เอ่ยปากออกมาจริงๆ ทำเอาเราเครียดเลย

แถมคุณหมอบอกประมาณว่า
ตั้งแต่เรามาครั้งแรก คุณหมอเห็นพลังบางอย่างในตัวเรา
เราเป็นโรคซึมเศร้า แต่ในหลายๆครั้งที่คุยกัน
คุณหมอรู้สึกถึงอารมณ์โกรธ หรืออะไรประมาณนี้แหละในตัวเรา
เราอึ้ง
จำไม่ค่อยได้ว่าคำพูดของคุณหมอพูดว่าอะไรบ้าง
แต่ ณ เวลานั้น เราเข้าใจสิ่งที่คุณหมอสื่อนะ

คุณหมอคงเห็นความกังวลจากสีหน้าเรา เลยบอกว่า
โอเค ตอนนี้เป็นนี่แหละ Major Depressive Disorder
แล้วให้ไปสังเกตอารมณ์ความรู้สึกหลังจากปรับลดยาไป
ให้แฟนช่วยดูด้วยอีกแรง

ถึงตรงนี้เราแอบขำนิดๆ
คือ ดูคุณหมอจะระมัดระวังการป้อนข้อมูลให้เราพอสมควร
คงคิด เดี๋ยวยัยคนนี้ต้องไปเล่าในblogอีกแน่ๆ
>_<
ไม่รู้คุณหมอโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้เราเป็นคนไข้

ครั้งหน้าคุณหมอขอนัดเป็นวันจันทร์
เราเลยเอ่ยปากถามว่า แล้วคุณหมอไม่ตรวจวันศุกร์แล้วเหรอ
คุณหมอบอกว่า อยากจะนัดเป็นวันจันทร์มากกว่า
เราเดาเอาเองว่า วันศุกร์ คนไข้คงเยอะแหงมๆ
คุณหมอคงมีเหตุผลของคุณหมอ จันทร์ก็จันทร์ค่า

พอออกมาจากจิตเวช
ลงมารับยา เราก็คิดถึงคำพูดของคุณหมอ
พลังๆอะไรในตัวเราเนี่ยะแหละ
อยู่ๆเราก็นึกถึงการ์ตูน Powerpuff Girls ขึ้นมา -"-








( รูปจาก Wikipedia )
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็น Buttercup (ตัวขวา)
นั่งรอรับยา ก็ยิ้มขำอยู่คนเดียว 
ไม่เป็นไรเน๊อะ ..เป็นผู้ป่วยจิตเวชนี่นา >_<

จริงๆไปโรงพยาบาลครั้งนี้ มีเรื่องยาผิดด้วย 
เอาไว้ค่อยเล่าpostต่อไปละกันนะคะ


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  จ่ายยาผิด