06 มิถุนายน 2555

คุณหมอของเรา [8th]


ห้องตรวจที่นั่งเป็นตัว L เช่นเดิม
คุณหมอเอื้อมไปหยิบแฟ้มเรามา
เปิดๆ อ่านๆ พลางถามว่าเป็นไงบ้าง
เราตอบว่า " เรื่อยๆ " มันขี้เกียจคุยแล้วจริงๆนะ
คิดในใจว่า จ่ายยาเถอะ

คุณหมอวางปากกา เอียงตัวมานิดนึง ถามเรื่องงานทันที
นั่นไง!! คิดในใจ "คุณหมออ่านblogเราชัวร์"
เราก็ตอบไปอย่างที่มันเป็น
ปัญหาหลายอย่างที่..ตั้งแต่ป่วย

มันทำให้เราทำงานที่ใช้สมาธิไม่ได้
แถมยังรวมไปถึงงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์..จบเลย
นี่ยังไม่รวมเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกจ้าง
หรือคนอื่นที่เราต้องดีลงานด้วย
เราก็พูดๆไป ตอบคำถามคุณหมอไป
ไม่ได้หวังให้อะไรมันดีขึ้น แย่ลง หรืออะไรมันเปลี่ยนแปลงหรอก

ถ้าจะบอกว่าคุณหมอดูrelaxขึ้น
มันดูตลกใช่มั๊ย แทนที่คนไข้จะrelaxขึ้น
แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆนะคะ  -"-
คุณหมอดูrelax สิ่งที่ถาม มันดูเป็นการคุย มากกว่าการซัก
คุณหมอไม่จดอะไรเลย หันตัวมานั่งคุย

คุยกันไป คุณหมอก็พูดถึงบันไดเลื่อน
คุยกันยาวนะ แต่เอาเป็นประมาณว่า
ถ้าต้องใช้ " บันไดเลื่อนลง " ในการเดินขึ้น
มันก็เหนื่อย หนัก แย่มากก็อาจจะกลิ้งตกลงมาบาดเจ็บ
ชีวิตเราตอนนี้ ขาลง ว่างั้นเหอะ - -"

เราบอกสิ่งที่เราคิด (ซึ่งจริงๆไม่ได้คิดจะบอกคุณหมอนะ)
เราบอกว่า..
วันที่มาครั้งแรก เราไม่คิดเลยว่ามันจะมาถึงวันนี้
คิดว่าไม่นาน อะไรๆก็คงคลี่คลาย
วันที่พบคุณหมอเป็นครั้งที่2
เรายอมรับแล้วว่า มันคงยาวนาน แต่เราก็คิดไว้แค่ 5-6 เดือน
พอคุณหมอบอกว่าเราเป็น Major Depressive Disorder
วันนั้นเราคิดเลย 2 ปี
แต่วันนี้ เราคิดว่ามัน infinity

เราไม่ได้คิดอีกแล้ว ว่ามันจะต้องใช้ระยะเวลาขนาดไหน
จะบอกว่าหมดหวังก็อาจไม่ถึงขนาดนั้น

เราก็ย้ำกับคุณหมอว่า เราไม่ได้จะหยุดรักษานะ
ไม่ได้จะหยุดกินยา หรือ จะไม่มาพบคุณหมออีก
เราเหนื่อยแล้ว กับการรักษาเพื่อให้ตัวเองกลับมา
วันนี้เราคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ไป
ใช้ชีวิตง่อยๆแบบนี้แหละ ค่อยๆไป
ไม่ใช่ไม่เข้าใจนะ ว่าชีวิตมีขึ้นมีลง
แต่เราไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องราวพวกนี้จะจบลงเมื่อไหร่

เราก็คงต้องไปทั้งๆแบบนี้แหละ ชีวิตเราพังมามากแล้ว
จะนั่งรออยู่ตรงตีนบันไดเฉยๆ ก็คงไม่ไหวแล้ว
คงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคแบบนี้ ว่าจะอยู่ยังไง
คุณหมอยิ้ม ถามเราประมาณว่า คิดว่า จะทำได้มั๊ย
เราบอกว่า ก็จะลองดู

คุณหมอบอกว่าดีแล้ว
ไม่ต้องคิดว่า จะทำได้ หรือ ทำไม่ได้
ก็จำที่บอกเมื่อกี้ ที่ว่าจะลองดู
เราก็บอกคุณหมอว่า ขอบคุณมากค่ะ
เหมือนน้ำตามันพุ่งจากต่อมไหนไม่รู้ มาเอ่อในตา
แต่ไม่ได้ร้องไห้ แค่ตามันร้อนไปหมด

แล้วคุณหมอก็หันหน้าไปดูที่แฟ้มพลางพูดไปพลางว่า
ที่คุยๆไป ไม่ต้องไปจำมากก็ได้ (อะไรประมาณนี้แหละ)
ประมาณว่า ถ้าจำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปจำ
จำแค่ ความรู้สึกเมื่อกี้ ที่บอกว่าจะลองดู

-"- (เราขมวดคิ้วทันที)
คิดในใจว่า " อ่าวววว คุณหมอ!! "
คือ ทุกครั้งที่เขียนblogเกี่ยวกับคุณหมอ
เราจะมึนๆงงๆตลอด ว่าคุณหมอพูดอะไรบ้าง
เวลาเล่า ก็มักจะบอกว่า จำไม่ค่อยได้
แสดงว่าคุณหมอคงอ่านblogแน่ๆ
รู้สึกเหมือนโดนแซวเล็กๆ แต่ก็หายกัน
เพราะเราก็เขียนถึงคุณหมอซะเยอะ
จนคนอื่นเค้าจินตนาการคุณหมอไปถึงไหนๆ
โดยที่คุณหมอไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ โอเค หายกันนะ!!

คุณหมอดูแฟ้ม แต่เราคุยต่อ (ไหนว่าจะไม่คุย)
เราบอกไปว่า ตอนนี้ เวลาใครมีทุกข์ใจเรื่องอะไรมาบอกเรา
เราจะใบ้รับประทาน ไม่รู้ว่า ควรจะพูดอะไรออกไปดี
ควรจะเฉยๆ ควรจะอือออ หรือ ควรจะคุยอะไร

ที่เราต้องบอกเรื่องนี้กับคุณหมอ เพราะ..
เดิม เราเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาปรึกษาบ่อยมากตั้งแต่เด็กๆเลย
เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ เวลาใครทุกข์ใจอะไรมาเล่า
เราไม่รู้ว่า เราควรจะทำยังไง มันแปลกมาก
ที่อยู่ๆ เหมือนทักษะด้านนี้หายไปเลย

คุณหมอ พูดประมาณ ก็ไม่ต้องอะไร
รับฟังเฉยๆ ไม่รู้จะพูดอะไร ก็ไม่ต้องพูด
ตอนนี้ต้องดูแลตัวเองก่อน
แล้วคุณหมอ ก็พูดประมาณว่า
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เราเป็นตัวของตัวเอง
คนอื่นก็ให้เค้าแก้ปัญหาของเค้าไป
เราก็พึมพำว่า " ป่วยเนี่ยะนะ คือ การเป็นตัวของตัวเอง "
คุณหมอตอบว่า " ก็เป็นแล้วครับ ไม่ใช่คนอื่นเป็น "
-"-

จริงๆเราคุยกับคุณหมออีกหลายเรื่องเลย
แต่คงเล่าไม่หมด
การมาหาหมอตามนัดครั้งนี้ ถ้าไม่นับการรอร่วมครึ่งวัน
เป็นครั้งที่เรารู้สึกว่า..เราhappyนะ
เหมือนเราได้มานั่งคุยกับเพื่อน
เพื่อนคนเดียวที่ไม่ได้ป่วยแบบเรา แต่พอจะเข้าใจเรา
จริงๆแล้ว คุณหมออาจจะไม่เข้าใจหรอก
แต่คำพูดที่พูดออกมา ไม่ได้หักความรู้สึกกันเกินไป

คุณหมอไม่เคยพูดว่า
อย่าไปเครียด อย่าไปคิด ปล่อยวาง ..อะไรพวกนี้
เราเคยเจอคำพูดของคุณหมอหลายอย่าง
ที่ไม่เป็นฟอแมทของคนทั่วๆไปเค้าพูดกัน (ซึ่งก็ไม่รู้จะพูดเพื่ออะไร)

อย่างเคยเล่าอะไรซักเรื่องให้คุณหมอฟัง
คุณหมอก็คุยๆ แล้วพูดว่า " ไม่ใช่ไม่ให้คิดนะครับ "
อือ ก็ถูกแล้วไง คนไม่คิดอะไรเลยเนี่ยะ น่าจะเป็นคนตายนะ
แต่คนทั่วไป ชอบปลอบคนอื่นว่า อย่าไปคิดมาก
หรือ เราเคยเล่าเรื่องที่เราขว้างของ
คุณหมอไม่พูดอะไรเลย นอกจากบอกว่า " ยังอีกเยอะ "
ไม่ได้บอกว่าเราควรทำยังไง ไม่ห้าม ไม่บอกวิธีแก้ไข
กลับบอกว่า สงสัยจะเก็บไว้มาก .. ซะงั้น
แต่กลายเป็นว่า..มันดีกว่ามานั่งบอกว่าเราควรทำยังไง

แล้วคุณหมอก็ดูแฟ้ม พลางพูดว่า
" อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของหมอสินะ "
คุณหมอสั่งปรับยาตัวล่าสุดให้กินเพิ่มขึ้นอีกเม็ดนึง
แล้วก็อธิบายเรื่องยานิดหน่อย
จากที่เคยให้เพิ่มยามา เป็นเวลา 2 สัปดาห์
มันยังไม่ค่อยโอเค จะขอดูต่ออีก

นัดครั้งหน้าคุณหมอไม่ได้ลงตรวจวันพฤหัสแล้ว
แต่เป็น จันทร์ กับ ศุกร์ แทน เราขอเป็นวันศุกร์
คุณหมอให้เลือก ระหว่าง 15 กับ 22 ว่าจะมาวันไหน
-"- เง้ยยยย เลือกได้ด้วย
เราขอเป็นวันที่ 22 เพราะเห็นคนไข้เยอะเหลือเกิน
รวมทั้งเราก็อยากให้โอกาสยา ให้โอกาสตัวเอง ซักนิด
เผื่อมันจะมีอะไรดีขึ้น แต่เพื่อ..ไม่ให้คิดไปเอง ก็เลยถามว่า
มันต้องเป็นอีก 2 สัปดาห์มั๊ย คุณหมอบอกว่าเลทไปก็ได้

คุณหมอเขียนใบสั่งยา เราก็บ่นพึมพำไปว่า เบื่อกินยาแล้ว
จากที่เคยกินแล้วเฉยๆ เดี๋ยวนี้ชักเริ่มกินแล้วติดคอ
คุณหมอเขียนพลางพูดพลางว่า
" เลือกกินเฉพาะยาที่เกี่ยวกับอารมณ์ก็ได้ครับ "
-"- เอ่อ ก็ยาทั้งสามตัวเนี่ยะ มันระบุว่ารักษาโรคซึมเศร้าทั้งหมด
ยานอนหลับ ยาแก้คลื่นไส้ เราก็ไม่ได้กินนานแล้ว
สรุปว่าเราก็ต้องกินทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหรอ

กินก็กิน ถ้าสั่งให้ลดตัวไหน หรือเลิกกิน ก็ค่อยว่ากัน
เป็นสี่เดือนจากตลอดชีวิตที่เรากินยาอย่างเคร่งครัด ไม่เคยขาดซักวัน
อาจจะลืมบ้าง เลทบ้าง แต่ไม่มีวันไหนที่ไม่กินเลย
แต่ความอยากหายของเราที่ผ่านมา
มันก็ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะโรคนี้อยู่ดี


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ยอมรับความจริง