22 เมษายน 2555

จิตแพทย์


เป็นคนป่วย มาเขียนหัวข้อจิตแพทย์ก็ดูแปลกๆนิดนึง
แถม..ไม่เคยมีความรู้ในสายงานสาธารณสุขแม้แต่นิดเดียว
แต่..ขอเขียนในฐานะคนป่วยคนนึง
รู้เท่าที่พบเจอมา และ ได้พูดคุยสอบถามคนรู้จักที่เคยพบจิตแพทย์นะคะ

จิตแพทย์ ก็ คือแพทย์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วง่ายๆ >_<
คนจะเป็นจิตแพทย์ ก็ต้องจบคณะแพทย์ แล้วมาต่อสาขาเฉพาะ
ไม่มีอะไรยากเกินจะเข้าใจนะคะ เพราะจิตแพทย์ต้องสั่งยา
ยา ก็ต้องมาจากแพทย์เท่านั้น คนอื่นสั่งไม่ได้

การมาต่อเฉพาะทางจิตเวชเนี่ยะ
คุณหมอเค้าไม่ได้ไปนั่งเรียนกันอย่างเดียว เค้าก็ลงตรวจด้วย
คราวนี้ ก็พอจะนึกออกแล้วใช่มั๊ยคะว่า โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์
ในแผนกจิตเวช ก็จะมีคุณหมอที่มาต่อเฉพาะทางจิตเวชตรวจคนไข้ด้วย

ทีนี้ ใครที่มีความคิด ว่าชั้นจะต้องตรวจกับอาจารย์หมอเท่านั้น
(มีคนคิดอย่างนี้จริงๆ เรากล้าพูด เพราะเจอมากับตัว เยอะมาก)
เราไม่แนะนำให้ไปโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์นะคะ
เพราะคุณจะมาเลือกไม่ได้ คนไข้เยอะมากค่ะ
แนะนำให้ไปโรงพยาบาลเอกชน หรือ โรงพยาบาลอื่นๆ
โดยอาจจะโทรไปสอบถามก่อนก็ได้

หลังจากที่เรากลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชแล้ว
ทำให้เรารู้ทันทีว่า การยอมรับในตัวคุณหมอ สำคัญมาก
ต่อให้คุณหมอท่านนั้น เก่งขนาดไหน มีอะไรมายืนยันความเก่งมากมาย
แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ยอมรับ จบกันเลย

เรากล้าเขียนอย่างนี้
แม้ว่าจะมีประสบการณ์พบเจอกับคุณหมอแค่ 5 ครั้งเท่านั้น
ครั้งแรกๆ แม้เราจะพูดคุยกับคุณหมอนานพอสมควร
แต่เราก็ไม่ได้เปิดใจอะไรนะ เราเฉยๆ
มองคุณหมอเป็นแค่เพียง แพทย์ที่สามารถจ่ายยาให้เราเท่านั้น
ณ เวลานั้น เราคิดเพียงแต่ว่า ถ้าหลับได้ อะไรๆคงดีขึ้น
ไม่ได้คิดว่าการพูดคุยกับคุณหมอจะเกิดอะไรเปลี่ยนแปลงได้หรอก
แต่เราก็ไม่มีความรู้สึกต่อต้านแม้แต่นิดเดียว มันเฉยๆมากกว่า

ในครั้งที่2 เราเริ่มยอมรับ
การที่เราน้ำตาเอ่อต่อหน้าคนๆนึงที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งที่2
แสดงให้เห็นว่าเราเปิดใจระดับนึงแล้ว
ครั้งนั้นเราคุยด้วยความเหน็ดเหนื่อย
แต่ไม่ต้องใช้ความพยายามในการคุยเหมือนวันแรก
มันเรื่อยๆ ตามความรู้สึก อะไรไม่รู้ ก็ไม่อยากจะคิดมาก ตอบว่าไม่รู้จริงๆ
ถ้าไม่ไหว ก็ไม่คิดจะหาคำตอบ เพียงเพราะเกรงใจคุณหมอ
เรารู้เลยว่าครั้งนั้นเรายอมรับคุณหมอแล้วล่ะ

แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ
ขอกระโดดข้ามมาหลังจากพบคุณหมอเป็นครั้งที่3
เราเกิดความรู้สึกกลัว กลัวว่าเราจะติดคุณหมอ
อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เราเริ่มมีความรู้สึกลังเลในการรักษานะ
ยิ่งตอนนั้นเรารู้สึกว่า โอเค คุณหมอคนนี้เคมีเข้ากับเราละ
แล้วเจอคนอื่นๆที่บ่นให้เรารู้เกี่ยวกับการไม่ยอมรับหมอของพวกเค้า
เราเริ่มหวั่นใจ กลัวว่าเราเปิดใจรับคุณหมอและรู้สึกพึ่งพิงเกินไปรึเปล่า
ถึงขนาดที่เราไปนั่งsearchหาข้อมูลเรื่อง Therapeutic Relationship กันเลยทีเดียว
(ไม่แน่ใจว่าควรใช้คำภาษาไทยว่าอะไรถึงถูกต้อง ถ้าทราบแล้วจะมาวงเล็บไว้นะคะ)
อ่านเยอะมาก จนเริ่มมีความมั่นใจว่า เราไม่ได้ยึดคุณหมอเป็นที่พึ่งพิง
แต่เป็นการยอมรับคุณหมอจริงๆ
หลังจากนั้น เราก็สบายใจมากขึ้นกับการรักษา

จริงๆ เราไม่อยากใช้คำว่าเรา"โชคดี"เท่าไหร่นัก
ว่าเราเจอคุณหมอที่ทำให้เรายอมรับได้ไม่ยาก
แต่เราว่า มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆแหละ
เพราะเราไม่สามารถระบุได้ว่าจะเจอคุณหมอท่านไหน
(แต่ที่อื่นอาจจะระบุได้นะคะ โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน
หรือ แม้แต่โรงพยาบาลรัฐ คนที่เรารู้จักก็คุยกับพยาบาล
ขอเลือกเพศคุณหมอ ก็ได้ตามนั้นจริงๆ)

อยากเล่าถึงคุณหมอของเรานะคะ
เราคิดว่าการที่เราเปิดใจยอมรับได้ไม่ยากนัก
นอกจากวัยที่ไม่ได้ต่างกันมากเกินไป
ทำให้ เวลาเราสื่อสารเรื่องราวอะไรออกไป มันคุยกันง่ายขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าวัยห่างเกินไปแล้วจะยอมรับไม่ได้นะคะ
เราว่า การพูดคุย ก็ทำให้เข้าใจกันได้

ยกตัวอย่าง เราเคยเล่าให้คุณหมอฟังว่า นอนไม่หลับ
เลยหยิบTabletมาเล่นเกมส์ อยากให้ตามันล้าๆจะได้หลับซะ
ถ้าเป็นคุณหมอที่คนละวัยกัน เป็นผู้ใหญ่กว่ามากๆ
อาจจะคิดว่าเราติดเกมส์รึเปล่า ซึ่งจริงๆไม่ใช่เลย
เราไม่ได้อยากจะเล่น เกมส์มันน่าเบื่อจะตาย ถอดไพ่ไปเรื่อยๆ
เพียงแต่เราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ที่จะให้มันหลับลงได้
เลยใช้สายตาเยอะๆเพื่อให้ตามันล้า
คุณหมอก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น
เพราะเรามั่นใจว่า คุณหมอก็เคยเล่นเกมส์ และแยกแยะคนเล่นเกมส์กับติดเกมส์ได้

ส่วนเพศ อันนี้เรามั่นใจเลยว่า คุณหมอที่รักษาเราไม่ควรเป็นเพศเดียวกับเรา
เราจะได้ฟังมุมมองของคนต่างเพศ อย่างน้อย ก็เวลาเล่าเรื่องแฟน

นอกจาก เพศ และ วัย แล้วที่ทำให้เรายอมรับคุณหมอได้ง่าย
อีกสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือ ตัวตนของคุณหมอเอง
..คุณหมอเป็นคนรับฟังคน
หลายคนอาจจะคิดว่าจิตแพทย์ก็ต้องฟังคนไข้สิ ขอบอกว่าไม่เสมอไปนะคะ
อันนี้ ไว้เราเก็บข้อมูลจากคนป่วยคนอื่นๆได้มากกว่านี้จะเล่าให้ฟัง

เราคิดว่า คุณหมอของเรามีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะเป็นจิตแพทย์จริงๆ
และเรามั่นใจว่า คุณหมอของเราจะเป็นจิตแพทย์ที่เก่งคนหนึ่งของเมืองไทย
การเลือกมาต่อด้านนี้ ไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายนัก
ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในวงการนี้ก็เถอะ
คุณหมอที่มาต่อทางจิตเวชต้องมีใจรักจริงๆ
แถมแค่ใจรักคงยังไม่พอ
นิสัย ทัศนคติ และ บุคลิกภาพส่วนตัวก็ต้องเหมาะด้วย
นี่คงเป็นทางของคุณหมอแล้วจริงๆ

เราเขียนมายาวมากเลย แถมสรุปไม่ลง
แต่อยากจะฝากไว้ว่า
ถ้าใครไปพบจิตแพทย์ครั้งแรกๆ แล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
อย่าเพิ่งรีบตัดสิน
เปิดโอกาสให้คุณหมอ เท่ากับเราเปิดโอกาสให้ตัวเอง
ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้ตัวเอง คงยากที่เราจะหายจากโรคนะคะ
คุณหมอก็อยากให้คนไข้ตัวเองหายทั้งนั้นแหละค่ะ
อาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย
อย่าปิดโอกาสตัวเองนะคะ




อันนี้เอามาขำๆ..
ต่างประเทศกับเมืองไทย ต่างกันนะ >_<















+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  "นอยด์" น้อยๆ