25 ตุลาคม 2555

คุณหมอของเรา [13th]


ครั้งนี้แอบเห็นประวัติคนไข้อยู่ในจอคอมพิวเตอร์
โรงพยาบาลรามาฯไฮเทคแล้วค่ะ >_<

คุณหมอคลิกนู่นคลิกนี่ ถามข้อมูลเบื้องต้นไปพลาง
บอกคุณหมอเรื่องหยุดยาเอง
แต่หน้าตาระรื่น บิ้วท์ร่าเริงเต็มที่
ประหนึ่งนี่ไง ไม่ต้องกินยาก็ได้(ม้าง)

คุณหมอถามอาการ หลังจากหยุดยา
เราก็เล่าว่าวันแรกๆดีใจม้ากมาก ชิลล์เลย
พอซัก 2-3 วันเท่านั้น แทบล้มหมอนนอนเสื่อ
ถึงขั้นอาเจียน ปวดหัว เวียนหัว ทุกสิ่งอัน จัดมาครบ
โดยเฉพาะปวดหัวนี่จำแม่นมาก เป็นอาการปวดแบบตอนกินยาช่วงแรกๆ
เรียกว่าปวดตลอดเวลาที่ไม่หลับ กินยาแก้ปวดก็ไม่หาย
ตอนนั้นปวดอยู่ 2 สัปดาห์ แต่ครั้งนี้ แค่ 2-3 วัน
ส่วนคลื่นไส้ อาเจียนนี่ ปกติเลย ชินแล้ว ไม่ตื่นเต้นตกใจอะไรอีกต่อไป

คุณหมอถามว่ามีความคิดฆ่าตัวตายมั้ย
เราก็ยืนยันว่าไม่ .. คือ ตั้งแต่วันแรกถึงวันที่ไปพบคุณหมอครั้งนี้
มันไม่คิดนะ อาจจะเบื่อๆในการมีชีวิตอยู่ แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตายซักแว๊บ

(หลังจากหาหมอครั้งนี้แหละ ถึงได้รู้ว่า คนป่วยที่คิดฆ่าตัวตายมันเป็นยังไง)

คุณหมอคุยเรื่องยา ว่าทำไมหยุดยา
ขอเหตุผล ให้อธิบายมาหน่อย อะไรยังไง เราบอกเบื่อ
คุณหมอก็ถามว่า เบื่อยังไง เบื่อแบบไหน
เบื่อที่ต้องกินยาทุกวัน รู้สึกเป็นคนป่วย?
เบื่อหมอ เบื่อโรงพยาบาล เบื่อมารอ หรือเบื่ออะไรยังไง

ไอครั้นจะตอบเบื่อๆๆๆ ก็เกรงใจคุณหมอมากๆ แต่ก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง
ก็บอกไปว่า รู้นะ เข้าใจนะ อ่านมาเยอะมาก ว่าห้ามหยุดยาเอง
แล้วก็ยังคิดว่า จะหยุดยาทำไม ก็กินๆไปเถอะ

แต่พอถึงเวลาต้องกินขึ้นมา กินทุกวัน 9 เดือนแล้ว
มันรู้สึกแย่ๆ แย่ตั้งแต่กินยาใหม่ๆ แล้วเจอผลข้างเคียง
แย่ที่ต้องอดทนกับมัน แล้วพอยามันตอบสนองไม่ดีพอ
ก็ต้องอดทนใหม่ วนเวียนอยู่แบบนั้น
แล้วเวลาที่มีอาการอะไรขึ้นมา เราก็ไม่แน่ใจว่านี่มันเพราะยา
หรือเพราะป่วย หรืออะไร

เหมือนยาเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เราต้องพยายามกลืนลงไป
เพื่อ........ ??

พบคุณหมอครั้งนี้คุยกันอยู่ราว 20-25 นาทีเห็นจะได้
เราคุยไปยิ้มไป พยายามจะร่าเริง

ถามคุณหมอไปว่า
อาจเป็นเพราะเจอเรื่องเครียดๆ เรื่องเลวร้ายมานานเกินไปรึปล่าว

คือ เราพยายามที่จะพาชีวิตเดินต่อไปให้ได้
โดยไม่สนไอสารสื่อประสาทงี่เง่าในสมองอะไรเนี่ยะ

ที่คุณหมอตอบมาตอนนั้น เราไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอก
มันคือ ข้อสรุปว่าเราควรต้องกินยา
แต่พอมาทบทวนดูหลังจากนั้น ก็เข้าใจมากขึ้น
คุณหมอบอกว่า ถ้าเป็นปกติ คนเราจะปรับตัวได้

มานั่งคิด หลายปีที่ผ่านมา
เราเจอโจทย์ยากมามากมาย เราผ่านมันมาได้ตลอด
เรื่องหนักๆ เรื่องหินๆ เราผ่านมันมาได้
เรื่องที่ทำให้แทบจะขาดใจตาย เราก็ผ่านมันมาได้หมด
ยังรู้สึกว่า เฮ้ย จะแกร่งไปไหนคะเนี่ยะ

แต่ที่ล้มฟุบไปนี่ มันไม่มีประเด็นอะไรเลย
ไม่มีจริงๆ ชีวิตกำลังไปได้ด้วยดี
แล้วอยู่ๆมันเกิดอะไรขึ้น อะไรที่ง่ายๆ มันยากไปหมด

อย่างช่วงแรกๆ ที่ขนาดกินข้าวยังยากเลย
มันเกิดอะไรขึ้น?

แล้วที่เราขังตัวเองไว้ในห้อง ปิดม่านไม่พอ เอาผ้ามาปิดอีกชั้น
มันเกิดอะไรขึ้น?

แล้วที่เราไม่ไหวกับทุกสิ่ง
ทั้งที่โจทย์ต้องแก้มันง่ายประมาณบวกเลขหลักหน่วย
แต่มันยากราวกับต้องบวกเลขหลักล้าน โดยไม่ใช้เครื่องคิดเลข
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

แล้วอีกมายมายหลายคำถาม เกินกว่าที่เราจะบรรยายมาได้

คำตอบเดียว เออ เราป่วยจริง คงต้องกินยาสินะ

คุณหมอสั่งยาตัวใหม่ให้ แต่ก็บอกมาว่า
ลองไม่กินซักสัปดาห์ดูก่อนก็ได้นะ
แล้วก็สตาร์ทกินตั้งแต่ 2 เม็ด แล้วขยับไปเป็น 3 เม็ด
คุณหมอคำนวณวันนัดครั้งหน้าให้
เราก็เลยต้องบอกว่า " ก็คงจะกินแหละค่ะ "
เพราะไม่งั้น มันก็คำนวณยากจริงๆนะ

พอคุณหมอบอกผลข้างเคียงของยา
อยากจะทรุดลงไปกองตรงนั้น เริ่มยิ้มไม่ออก
จริงๆก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วงอีก ผ่านมาหมดแล้ว
แต่ก็ผ่านมาแล้วไง มันไม่อยากต้องเจออีก

มันเหนื่อย มันไม่ได้คิดไปเอง มันเกิดขึ้นจริง
จริงซะยิ่งกว่าจริง ว่ากินยาพวกนี้ช่วงแรกๆ มันแย่มาก
ใครที่เคยกิน คงรู้

ใครๆก็คิดว่าป่วยใจ (ใช่มั้ย)
ไม่เลย ใจน่ะสู้อยู่แล้ว
ถ้าไม่สู้ มันไม่อยู่มาถึงวันนี้หรอก

ถ้ามันไม่สู้
มันไม่พาตัวเองมาถึงโรงพยาบาลในวันนั้น วันนี้
หรือวันไหนๆได้หรอก

เราได้ต่อสู้จนถึงที่สุดแล้ว
แม้กระทั่งพาตัวมาเจอคุณหมอได้ในครั้งแรกๆ
เราก็คิดเสมอว่า เราจะไม่เอาคุณหมอเป็นที่พึ่งเด็ดขาด

เรามายืนอยู่ในแผนกจิตเวชได้ นั่นเพราะเราดิ้นรนเพื่อตัวเราเอง
คนที่ใจไม่สู้ เค้าจะทำแบบนี้ได้จริงๆเหรอ
แอบสงสัยในบางครั้งนะ




อ้อ ยาตัวใหม่ อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยนะคะ
แล้ว 4 กิโลที่ขึ้นมาล่ะ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
T_T



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [14th]

24 ตุลาคม 2555

หยุดยาเอง

ไปโรงพยาบาลตั้งแต่ต้นเดือน ตอนนี้ปลายเดือนแล้ว
อัพซักหน่อยมั้ย T_T

อันที่จริงนัดตั้งแต่ปลายเดือนกันยา
แต่ทางโรงพยาบาลส่งจดหมายมาเลื่อน
เลื่อนกันไปเลื่อนกันมา ตกลงไม่ได้ไปเลย
แถมแผลงฤทธิ์แผลงเดชหยุดกินยาไปเรียบร้อย

หยุดวันแรกๆก็ยังโอเคดี ผ่านไป 2-3 วัน เอาแล้วสิ
อาการมาเต็ม เป็นอาการเหมือนช่วงกินยาใหม่ๆเลยค่ะ
ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน เกาะโถส้วมกันอีกรอบ
แต่ก็เป็นอยู่ไม่กี่วัน มันเป็นอาการแบบพอทน ไม่ก็เพราะชินแล้ว
แถมแอบมีความสุขที่ไม่ต้องกินยาทุกวัน >_<

โทรไปหยั่งเชิงที่แผนกจิตเวชว่าคุณหมอลงวันไหนบ้าง
คุณพยาบาลที่นี่ก็ดีใจหาย ขอ HN อย่างเดียวเลย
แค่จะสอบถาม คุณพยาบาลจับนัดเสร็จสรรพค่ะ

พฤหัส ที่ 4 ตุลาคม 2555

ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล จะต้องออกเช้ามากๆ
แล้วต้องไปรอนานมากๆ รอจนเครียด
คราวนี้เอาใหม่ ออกสายหน่อย กะว่าไปทันแน่ๆ
ที่ไหนได้ เจอรถติดแบบกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง

แถมตั้งแต่แผนกผู้ป่วยนอกจิตเวชฯ ย้ายไปอยู่ตึกใหม่
ยังไม่เคยไปเลย หน้าตาเป็นไงก็ไม่รู้ รู้แต่อยู่ชั้น 9
พุ่งตัวเข้าโรงพยาบาลได้ แทบกรีดร้อง ลิฟท์ๆๆ ลิฟท์อยู่ไหน
เจอลิฟท์ตัวไหนก็ไม่รู้ ขึ้นเลย พอถึงชั้น 9 ยืนงงล่ะทีนี้
ป้ายอะไรเนี่ยะ บอกว่าแผนกจิตเวชอยู่อีกฝั่งนึง ต้องขึ้นลิฟท์อีกตัว
กำลังยืนตั้งสติอยู่ 2 วินาที ก็เจอเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย
เป็นชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
มีคนนึงน่ารักมากๆ ช่วยอธิบายว่าเดี๋ยวลงลิฟท์ไปชั้น 8
แล้วเดินไปจนสุดทาง ขึ้นลิฟท์อีกตัวไปชั้น 9 ใหม่

OMG นี่เกือบได้ลงไปชั้น 1 ใหม่ แล้วเดินไปหาลิฟท์ที่ว่า
แล้วไต่ขึ้นไปชั้น 9 ใหม่แล้วค่ะ แล้วลิฟท์ไม่ได้จะมาเร็วขนาดนั้น
คุณเจ้าชายเห็นเราทำหน้ามึนงง เลยอธิบายระหว่างรอลิฟท์
ว่า..จริงๆแล้วจิตเวชอยู่อีกฝั่งนึงของตึก ชั้นนี้เดินทะลุไปไม่ได้
แต่ชั้น 8 เดินทะลุได้ทั้งชั้น .. อ่อ -"-

เราก็ลงลิฟท์ไปพร้อมกับคุณเจ้าชายและเพื่อนๆ
พอถึงชั้น 8 ประตูเปิด คุณเจ้าชายยังกดลิฟท์ค้างไว้แล้วอธิบายต่อ
บอกให้เดินไปทางนี้ๆ สุดทางเลยนะ เดินไปเรื่อยๆ จนเจอลิฟท์แบบนี้

แล้วคิดเหรอว่าจะเดิน วิ่งค่ะวิ่ง วิ่งอย่างเดียวเลย
ก็คุณหมอของเราลงตรวจสัปดาห์ละวัน ถ้าไม่ทัน จบข่าวเลย
เทคตัวเข้าแผนกปุ๊บ วิ่งไปหาคุณพยาบาลแล้วบอกว่า accidentค่ะ
-/\- ผิดขั้นตอนที่เค้ากำหนดไว้ทุกอย่าง (ขอโทษน้า แงๆ)

คุณพยาบาลแผนกนี้ใจเย็นมาก
ไม่มีชักสีหน้าอะไรยังไงเลย ทั้งๆที่ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที
บอกให้เราไปวัดความดันกับชั่งน้ำหนักเลย
พอเสร็จแล้ว เราก็นั่งพักไม่กี่นาที ชมความทันสมัยของตึกใหม่
เหมือนโรงพยาบาลเอกชนทั่วๆไปแหละค่ะ
แต่กับคำว่ารามาฯแล้ว สำหรับเรา..ภาพมันติดตามาก
ยิ่งเมื่อหลายปีก่อน คนแน่นทุกอณู ไม่มีแม้กระทั่งที่ยืน
คนไข้ต้องนอนบนเตียงรอตรวจกันเต็มทางเดิน
ไปทีไร สุขภาพจิตเสียขั้นสุด .. ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว
หลังจากมีอาคารศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์

ระหว่างก้มเก็บของ ใส่รองเท้าให้เรียบร้อย
ได้ยินคุณพยาบาลเรียกชื่อ ให้ไปที่ห้องตรวจ
เงยหน้า เจอคุณหมอเดินจากเคาน์เตอร์เข้าห้องตรวจไปแล้ว
ร้องเฮ้ยเลย หอบข้าวของ วิ่งอีกรอบ
เคาะห้องป๊อกๆ เข้าไปถึง เอาเสื้อคลุมมาใส่ก่อนเลย
คือ ปกติเราชอบใส่เสื้อแขนกุดไปไหนมาไหน
แต่เวลาพบคุณหมอ ก็พยายามสุภาพไว้ เพราะต้องคุยกันนาน
จะมาคว้านหน้าเว้าหลัง ใส่สั้น คงไม่เหมาะ
(สงสารคุณหมอ ที่ต้องทนดู)

คุณหมอ เห็นสภาพเรา วิ่งมา หอบแฮ่ก ดูไม่ได้
เลยถาม " รีบเหรอครับ "
เราบอก " หลงค่ะ "

เนียนเลย
ไม่ยอมบอกว่ารถติดเลยมาสายนะ ก็ออกจากบ้านช้าเอง จะโทษใคร
>_<
แค่นี้ก็เกรงใจคุณหมอจะแย่แล้ว
เพราะเราไม่เห็นมีคนไข้รอคุณหมอหน้าห้องตรวจเลย
หรือตรวจเสร็จแล้ว ถูกเรียกตัวมาก็ไม่รู้ เกรงใจมากๆ

เดี๋ยวต้องสารภาพบาปที่หยุดยาเองอีก
-"-
ซึ่งเรื่องนี้ คงไม่จบง่ายๆ



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [13th]