29 เมษายน 2555

คุณหมอของเรา [6th]


พฤหัส ที่ 26 เมษายน  2555

เจอคุณหมอแบบเพลียๆ เพราะรถติดมากจริงๆ
แต่ก็ไปถึงก่อนเวลานัดเป็นชั่วโมงนะ
คนเยอะมากเหมือนเดิม เริ่มท้อหน่อยๆ

คุณหมอถามว่าเป็นยังไงบ้าง
เราก็ตอบว่า เรื่อยๆ
คือ มันเรื่อยๆจริงๆ สำหรับ 20 วันที่ผ่านมา
ตั้งแต่นัดครั้งที่แล้ว ชีวิตมันราบเรียบมาก

เราก็บอกไปว่า มันจะประมาณนี้ (ทำมือไปด้วย)
คือ ถ้าไม่มีอะไรมา มันก็เรียบๆเฉยๆนิ่งๆ
แต่ถ้ามีอะไรเข้ามา ตกวูบ ก็ขึ้นเร็ว 

ไม่เหมือนแต่ก่อน ช่วงกินยาแรกๆ มันจะเป็นแบบนี้เลย
อย่างที่เคยบอกคุณหมอไปแล้ว
ตอนนั้น พอตกวูบ แล้วมันจะขึ้นยากมาก กว่าจะไต่ๆขึ้นมา
ใช้เวลานาน

แต่มันไม่มีแบบกราฟพุ่งขึ้นผิดหูผิดตาอะไร
ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเข้ามา ก็เฉยๆ 

แล้วคุณหมอก็มีคำถามนึงถามเราว่า
ชอบแบบไหนมากกว่ากัน ระหว่าง นิ่งๆเฉยๆ กับ ตกวูบลงไป

คำถามนี้ อาจจะดูแปลกนะ สำหรับคนทั่วไป 
ใครก็ต้องคิดว่า จะบ้าเหรอใครก็ต้องชอบนิ่งๆสิ
ไม่ใช่ตกวูบลงเหวไปแบบนั้น 

คำถามนี้ของคุณหมอมันทำให้เราได้คิดแว๊บนึงก่อนตอบ
แล้วทำให้มีโอกาสได้บอกอะไรอีกหลายอย่าง
เราตอบว่าไม่ชอบทั้งคู่
คุณหมอมองหน้า แล้วถามว่า ทำไม 
เราบอกว่า มันไม่ใช่ตัวเราทั้งคู่ เราต้องการตัวเราคืนมา  

มันคือแค่นี้จริงๆนะ 
ความต้องการของเรา ณ เวลานี้ คือ 
ขอชีวิตเดิมๆคืนมา ขอความเป็นตัวของตัวเองคืนมา
แบบนี้มันไม่ใช่ตัวเรา 

เราก็พูดต่อว่า 
เดิมก็ไม่ใช่คนขยันอะไรมากมายนัก 
แต่ตอนนี้ จะทำอะไร มันเหนื่อย มันต้องใช้แรงเยอะ 
มันต้องรวบรวมพลังชีวิตมาก กว่าจะทำอะไรแต่ละอย่างได้
ไม่ใช่ขี้เกียจนะ มันอยากทำ แต่มันทำยากมาก
เราก็อธิบายไม่ค่อยถูก แต่ดูเหมือนคุณหมอจะเข้าใจ 

คุณหมอบอกเราว่า จะให้กินยาเพิ่มอีกตัวนึง
เป็นยารักษาซึมเศร้าเนี่ยะแหละ แต่ทำงานคนละแบบกัน 
เราแอบถอนหายใจเฮือกนึง เบาๆ 
เหนื่อยกับการกินยาเหลือเกิน แต่ทำอะไรไม่ได้ 

ไม่ใช่เราไม่รู้ ตลอด20วัน มันนิ่งเกินไป 
มันไม่แย่ลง แต่มันไม่ดีขึ้น 
ยังแอบคิดเลยว่าคุณหมอจะให้เพิ่มปริมาณยาตัวเดิมรึเปล่า
จากตอนแรกที่กินเม็ดเดียว มาเป็น2เม็ด ต้องเพิ่มเป็น3มั๊ย -"- 
พอมาได้ยินว่าให้กินยาเพิ่มอีก ก็ไม่ถึงกับผิดคาดมากนัก 
แค่เป็นยาตัวใหม่เท่านั้นเอง 

เราไม่ลืมที่จะให้ข้อมูลว่า
ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะช่วงนี้เราพักเยอะรึเปล่า
เพราะทุกคนอยากให้เราพักผ่อน 
มีคนมาดูแลร้านแทนเราชั่วคราว
แต่เราก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะทำอะไร ทั้งที่ว่างทำได้แล้ว
เมื่อก่อนไปไม่ได้ เพราะติดที่ร้าน ยังอยากไปไหนมาไหน
แต่นี่ กลับไม่อยากจะไปไหนเลย
อันนี้ เราไม่แน่ใจว่า มันทำให้20วันที่ผ่านมาของเรา นิ่งเกินไปรึเปล่า 
เราคิดว่า การแจ้งข้อมูลกับคุณหมอให้ครบถ้วน 
สำคัญมากทีเดียว เพราะคุณหมอจะได้วินิจฉัยถูก 
แล้วคุณหมอก็ขอนัดอีก 3 สัปดาห์ จะได้มาดูผลกันอีกครั้ง
ว่ายาที่ให้กินเพิ่ม ให้ผลเป็นยังไง 

แต่เราก็ลืมบอกคุณหมอไปนะ ว่า20วันถัดไปจากนี้
เงื่อนไขมันเปลี่ยนไปจากเดิม 
เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เราจะรู้สึกดีขึ้นจากยารึเปล่า
มีคนดูแลงานให้ชั่วคราวแล้ว เราเลยจะไปเที่ยวต่างจังหวัดราวสัปดาห์นึง 

เราไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดนานมากเลย
ไม่นับว่า ตั้งแต่ไปหาหมอเนี่ยะ ไม่เคยไปไหนไกลๆเลย
แล้วยังเหตุการณ์ปีที่ผ่านมา 
มันทำให้เรายกเลิกทริปที่วางไว้หลายครั้ง
ทั้งที่จองทุกอย่างไว้หมดแล้ว ไม่ว่าเครื่องบิน ที่พัก รถเช่า 
เนื่องจากว่า ปีที่แล้ว แม่ของแฟนเราเป็นมะเร็งอาการไม่สู้ดี
พอใกล้ๆจะไป แกทรุดลง เราก็ต้องยกเลิกทริป 
เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนเราไปเที่ยว 
ปีที่แล้ว เราทิ้งไป8ไฟล์ท ทั้งที่จองไว้จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว 

พอปลายปี ก็มีสถานการณ์น้ำท่วมที่ทำให้เครียดเกิดขึ้นอีก 
ต้องคอยตามข่าวตลอด ไหนจะร้าน ไหนจะบ้าน
(โชคดี น้ำไม่ท่วมร้าน แต่บ้านอยู่ไม่ได้ ทางเข้าท่วมหมด)
อพยพไปอยู่ชลบุรี ก็ได้ไปเที่ยวในชลบุรีบ้าง
แต่มันไม่ใช่การพักผ่อนหรือท่องเที่ยว มันเครียดนะ

ยาตัวใหม่ที่ได้มา คุณหมอบอกว่า 
มันจะทำให้เรามีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรมากกว่านี้ 
แต่เราก็ไม่มั่นใจนะ ว่าเราจะวัดผลมันได้รึเปล่า
เพราะสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไป 
เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวตั้ง6-7วันแหน่ะ 
ถ้าดีขึ้น ก็ไม่แน่ใจว่าเพราะยา หรือ สิ่งแวดล้อมกันแน่ 

up blog ครั้งต่อไป
จะมาเล่าเรื่องระหว่างไปเที่ยวละกันนะคะ 
แต่เพื่อไม่ให้ผิดคอนเซ็บ
เราคงเล่าในแง่มุมที่เป็นความรู้สึกนึกคิด ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า 
ถ้าเราได้ไปเที่ยวไกลๆ ออกจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆบ้าง
เราจะรู้สึกนึกคิดยังไง อารมณ์จะเป็นยังไง 

มาเพิ่มเติม^^ ยกเลิกทริปยาว6-7วันแล้วค่ะ 
เพราะอาการหลังกินยา ไม่ค่อยสู้ดีนัก หน้ามืดหลายครั้ง
เลยไปใกล้ๆ 2-3 วันก็พอ ^_^

+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  เรี่ยวแรง



27 เมษายน 2555

"นอยด์" น้อยๆ


อาการนอยด์รับประทาน เกิดขึ้นทุกครั้งหลังพบคุณหมอ
(ใครจะใช้คำว่านอยด์XXXX ก็โอเคนะคะ ตามนั้นเลย) >_<



พฤหัส ที่ 26 เมษายน  2555 วันหมอนัด

นี่เป็นการพบคุณหมอครั้งที่6
คงมีครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้นที่ออกจากห้องตรวจ แล้วไม่นอยด์
แต่พอเอาชื่อยามาเสริซก็ .. แทบบ้าไปเลย 555

หลังจากนั้น
ครั้งที่2 พอเห็นใบสั่งยา ยาตัวเดิม นอยด์....
ครั้งที่3 คุณหมอสั่งกินยาเพิ่มเท่าตัว นอยด์....สิคะ
ครั้งที่4 ไปขอยานอนหลับ คุณหมอให้กินยาซึมเศร้าเพิ่มอีกตัว นอยด์....
ครั้งที่5 คุณหมอบอกว่า เป็นโรคซึมเศร้า ..คงไม่ต้องบอกว่าเป็นไง

ครั้งนี้..ครั้งที่6 คุณหมอสั่งเพิ่มยาซึมเศร้าอีกตัว หึหึ

เรานั่งรอคุณพยาบาลออกใบนัดแบบคอตกทุกครั้ง
แล้วลงไปรอรับยาแบบหดหู่ทุกครั้งไป
ไม่เคยจะจำได้ว่าลงบันไดมาชั้นล่างยังไง เดินสวนกับใครไปกี่คน
มันเป็นความรู้สึกซ้ำๆ

ลอยๆ เหมือนวิญญาณออกจากร่าง
ยังดีหน่อยตรงที่ช่วงหลังๆ..
ระหว่างรอรับยา ก็จะหยิบTabletมานั่งอ่านไปด้วย
อย่างครั้งนี้ โชคดีที่ได้คุยทางทวิตเตอร์กับน้องม.2ที่กำลังจะขึ้นม.3
น้องเค้าอยากเป็นนักจิตวิทยา
เราก็เลยคุยเพลินๆไป บอกให้ตั้งใจเรียน
และใช้ชีวิตเยอะๆ ถึงเวลาเลือกก็จะได้รู้ว่าตัวเองชอบจริงรึเปล่า

การได้คุยกับคนอื่น มันดึงความรู้สึกกลับมา
จะมาล่องลอย นอยด์รับประทานอยู่ก็ไม่ได้
ครั้งนี้รอยานานมากกกกกกก
ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร อาจจะเพราะคนไข้เยอะมากก็ได้

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกนะคะ หลังจากกินโรแอคฯแล้ว
ไม่มีครั้งไหนที่เราจะไม่เอาชื่อยามาเช็คในเว็บ

ปกติ ก่อนกินยาอะไร เราจะเช็คทุกครั้ง
ด้วยเว็บ Ya & You  ว่ารักษาอะไร ผลข้างเคียงเป็นยังไง
แต่ครั้งนี้ ถึงเวลาเราก็กินเลย
หยิบมันมามองอยู่ 5 วินาที อืม สีสวยดีนะ เขียวเชียว -"-
แล้วถอนหายใจเสร็จก็ตัดสินใจกินเลย

จะว่าหมดอาลัยตายอยาก ก็ไม่ถึงขนาดนั้น
แต่ไม่รู้จะเช็คไปทำไมแล้ว คุณหมอก็บอกมาเรียบร้อย
ว่าเป็นยารักษาซึมเศร้านี่แหละ แต่ทำงานคนละแบบกัน
สรุปเราต้องกินยารักษาซึมเศร้า ถึง3ตัว

แล้วยังไงล่ะ ก็ต้องกิน ไม่มีทางเลือก
เราอยากหาย ตัดสินใจที่จะไว้ใจหมอ ให้เวลายา ให้เวลาตัวเอง
เดินมาทางนี้ ก็ต้องไปให้สุดทางสิ
เราจะไม่ยอมเดินย้อนกลับ
เอาไว้ให้ไปจนสุดทาง พบว่าเป็นทางตัน หรือเป็นเหว
ค่อยว่ากันอีกที ขืนเดินย้อนไปย้อนมา ไม่ต้องถึงไหนกันพอดี
เน๊อะ ^_^

โพสต์หน้าเราจะมาเล่าเรื่องที่คุยกับคุณหมอนะคะ
เดี๋ยวจะยาวเกินไป


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [6th]

22 เมษายน 2555

จิตแพทย์


เป็นคนป่วย มาเขียนหัวข้อจิตแพทย์ก็ดูแปลกๆนิดนึง
แถม..ไม่เคยมีความรู้ในสายงานสาธารณสุขแม้แต่นิดเดียว
แต่..ขอเขียนในฐานะคนป่วยคนนึง
รู้เท่าที่พบเจอมา และ ได้พูดคุยสอบถามคนรู้จักที่เคยพบจิตแพทย์นะคะ

จิตแพทย์ ก็ คือแพทย์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วง่ายๆ >_<
คนจะเป็นจิตแพทย์ ก็ต้องจบคณะแพทย์ แล้วมาต่อสาขาเฉพาะ
ไม่มีอะไรยากเกินจะเข้าใจนะคะ เพราะจิตแพทย์ต้องสั่งยา
ยา ก็ต้องมาจากแพทย์เท่านั้น คนอื่นสั่งไม่ได้

การมาต่อเฉพาะทางจิตเวชเนี่ยะ
คุณหมอเค้าไม่ได้ไปนั่งเรียนกันอย่างเดียว เค้าก็ลงตรวจด้วย
คราวนี้ ก็พอจะนึกออกแล้วใช่มั๊ยคะว่า โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์
ในแผนกจิตเวช ก็จะมีคุณหมอที่มาต่อเฉพาะทางจิตเวชตรวจคนไข้ด้วย

ทีนี้ ใครที่มีความคิด ว่าชั้นจะต้องตรวจกับอาจารย์หมอเท่านั้น
(มีคนคิดอย่างนี้จริงๆ เรากล้าพูด เพราะเจอมากับตัว เยอะมาก)
เราไม่แนะนำให้ไปโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์นะคะ
เพราะคุณจะมาเลือกไม่ได้ คนไข้เยอะมากค่ะ
แนะนำให้ไปโรงพยาบาลเอกชน หรือ โรงพยาบาลอื่นๆ
โดยอาจจะโทรไปสอบถามก่อนก็ได้

หลังจากที่เรากลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชแล้ว
ทำให้เรารู้ทันทีว่า การยอมรับในตัวคุณหมอ สำคัญมาก
ต่อให้คุณหมอท่านนั้น เก่งขนาดไหน มีอะไรมายืนยันความเก่งมากมาย
แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ยอมรับ จบกันเลย

เรากล้าเขียนอย่างนี้
แม้ว่าจะมีประสบการณ์พบเจอกับคุณหมอแค่ 5 ครั้งเท่านั้น
ครั้งแรกๆ แม้เราจะพูดคุยกับคุณหมอนานพอสมควร
แต่เราก็ไม่ได้เปิดใจอะไรนะ เราเฉยๆ
มองคุณหมอเป็นแค่เพียง แพทย์ที่สามารถจ่ายยาให้เราเท่านั้น
ณ เวลานั้น เราคิดเพียงแต่ว่า ถ้าหลับได้ อะไรๆคงดีขึ้น
ไม่ได้คิดว่าการพูดคุยกับคุณหมอจะเกิดอะไรเปลี่ยนแปลงได้หรอก
แต่เราก็ไม่มีความรู้สึกต่อต้านแม้แต่นิดเดียว มันเฉยๆมากกว่า

ในครั้งที่2 เราเริ่มยอมรับ
การที่เราน้ำตาเอ่อต่อหน้าคนๆนึงที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งที่2
แสดงให้เห็นว่าเราเปิดใจระดับนึงแล้ว
ครั้งนั้นเราคุยด้วยความเหน็ดเหนื่อย
แต่ไม่ต้องใช้ความพยายามในการคุยเหมือนวันแรก
มันเรื่อยๆ ตามความรู้สึก อะไรไม่รู้ ก็ไม่อยากจะคิดมาก ตอบว่าไม่รู้จริงๆ
ถ้าไม่ไหว ก็ไม่คิดจะหาคำตอบ เพียงเพราะเกรงใจคุณหมอ
เรารู้เลยว่าครั้งนั้นเรายอมรับคุณหมอแล้วล่ะ

แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ
ขอกระโดดข้ามมาหลังจากพบคุณหมอเป็นครั้งที่3
เราเกิดความรู้สึกกลัว กลัวว่าเราจะติดคุณหมอ
อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เราเริ่มมีความรู้สึกลังเลในการรักษานะ
ยิ่งตอนนั้นเรารู้สึกว่า โอเค คุณหมอคนนี้เคมีเข้ากับเราละ
แล้วเจอคนอื่นๆที่บ่นให้เรารู้เกี่ยวกับการไม่ยอมรับหมอของพวกเค้า
เราเริ่มหวั่นใจ กลัวว่าเราเปิดใจรับคุณหมอและรู้สึกพึ่งพิงเกินไปรึเปล่า
ถึงขนาดที่เราไปนั่งsearchหาข้อมูลเรื่อง Therapeutic Relationship กันเลยทีเดียว
(ไม่แน่ใจว่าควรใช้คำภาษาไทยว่าอะไรถึงถูกต้อง ถ้าทราบแล้วจะมาวงเล็บไว้นะคะ)
อ่านเยอะมาก จนเริ่มมีความมั่นใจว่า เราไม่ได้ยึดคุณหมอเป็นที่พึ่งพิง
แต่เป็นการยอมรับคุณหมอจริงๆ
หลังจากนั้น เราก็สบายใจมากขึ้นกับการรักษา

จริงๆ เราไม่อยากใช้คำว่าเรา"โชคดี"เท่าไหร่นัก
ว่าเราเจอคุณหมอที่ทำให้เรายอมรับได้ไม่ยาก
แต่เราว่า มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆแหละ
เพราะเราไม่สามารถระบุได้ว่าจะเจอคุณหมอท่านไหน
(แต่ที่อื่นอาจจะระบุได้นะคะ โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน
หรือ แม้แต่โรงพยาบาลรัฐ คนที่เรารู้จักก็คุยกับพยาบาล
ขอเลือกเพศคุณหมอ ก็ได้ตามนั้นจริงๆ)

อยากเล่าถึงคุณหมอของเรานะคะ
เราคิดว่าการที่เราเปิดใจยอมรับได้ไม่ยากนัก
นอกจากวัยที่ไม่ได้ต่างกันมากเกินไป
ทำให้ เวลาเราสื่อสารเรื่องราวอะไรออกไป มันคุยกันง่ายขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าวัยห่างเกินไปแล้วจะยอมรับไม่ได้นะคะ
เราว่า การพูดคุย ก็ทำให้เข้าใจกันได้

ยกตัวอย่าง เราเคยเล่าให้คุณหมอฟังว่า นอนไม่หลับ
เลยหยิบTabletมาเล่นเกมส์ อยากให้ตามันล้าๆจะได้หลับซะ
ถ้าเป็นคุณหมอที่คนละวัยกัน เป็นผู้ใหญ่กว่ามากๆ
อาจจะคิดว่าเราติดเกมส์รึเปล่า ซึ่งจริงๆไม่ใช่เลย
เราไม่ได้อยากจะเล่น เกมส์มันน่าเบื่อจะตาย ถอดไพ่ไปเรื่อยๆ
เพียงแต่เราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ที่จะให้มันหลับลงได้
เลยใช้สายตาเยอะๆเพื่อให้ตามันล้า
คุณหมอก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น
เพราะเรามั่นใจว่า คุณหมอก็เคยเล่นเกมส์ และแยกแยะคนเล่นเกมส์กับติดเกมส์ได้

ส่วนเพศ อันนี้เรามั่นใจเลยว่า คุณหมอที่รักษาเราไม่ควรเป็นเพศเดียวกับเรา
เราจะได้ฟังมุมมองของคนต่างเพศ อย่างน้อย ก็เวลาเล่าเรื่องแฟน

นอกจาก เพศ และ วัย แล้วที่ทำให้เรายอมรับคุณหมอได้ง่าย
อีกสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือ ตัวตนของคุณหมอเอง
..คุณหมอเป็นคนรับฟังคน
หลายคนอาจจะคิดว่าจิตแพทย์ก็ต้องฟังคนไข้สิ ขอบอกว่าไม่เสมอไปนะคะ
อันนี้ ไว้เราเก็บข้อมูลจากคนป่วยคนอื่นๆได้มากกว่านี้จะเล่าให้ฟัง

เราคิดว่า คุณหมอของเรามีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะเป็นจิตแพทย์จริงๆ
และเรามั่นใจว่า คุณหมอของเราจะเป็นจิตแพทย์ที่เก่งคนหนึ่งของเมืองไทย
การเลือกมาต่อด้านนี้ ไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายนัก
ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในวงการนี้ก็เถอะ
คุณหมอที่มาต่อทางจิตเวชต้องมีใจรักจริงๆ
แถมแค่ใจรักคงยังไม่พอ
นิสัย ทัศนคติ และ บุคลิกภาพส่วนตัวก็ต้องเหมาะด้วย
นี่คงเป็นทางของคุณหมอแล้วจริงๆ

เราเขียนมายาวมากเลย แถมสรุปไม่ลง
แต่อยากจะฝากไว้ว่า
ถ้าใครไปพบจิตแพทย์ครั้งแรกๆ แล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
อย่าเพิ่งรีบตัดสิน
เปิดโอกาสให้คุณหมอ เท่ากับเราเปิดโอกาสให้ตัวเอง
ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้ตัวเอง คงยากที่เราจะหายจากโรคนะคะ
คุณหมอก็อยากให้คนไข้ตัวเองหายทั้งนั้นแหละค่ะ
อาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย
อย่าปิดโอกาสตัวเองนะคะ




อันนี้เอามาขำๆ..
ต่างประเทศกับเมืองไทย ต่างกันนะ >_<















+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  "นอยด์" น้อยๆ

16 เมษายน 2555

สมอง - หัวใจ


เราเขียนทั้งหมดข้างล่างนี้ ตั้งแต่2-3วันแรกที่คุณหมอบอก
ว่าเราเป็น Major Depressive Disorder
มันเป็นความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้น
เราคิดอยู่นานว่าจะเอามาลงดีรึปล่าว เพราะเกรงจะดราม่าเกินไป
แต่คิดจนตกตะกอนแล้ว ควรเอามาลงสินะ
ยาวซักหน่อย แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง
และอาจจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น


========================

นาทีที่คุณหมอบอก ว่าเราเป็นอะไร
เราหูอื้อ ตาลาย ถ้าเป็นภาพในหนัง
คงมองเห็นหน้าคุณหมอแบบเบลอๆ เสียงก้องๆ
เราจับใจความไม่ได้มาก แต่น่าจะ..
เราเป็นเพราะร่างกายของเราเอง ต้องกินยา
การทำจิตบำบัด ไม่สามารถช่วยได้มาก
อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ อะไรประมาณนี้

มันอึ้งๆอีกครั้ง ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ไม่คิด
แต่อย่างที่บอกมาตลอด เมื่อฟันธงมาแบบนี้ ความรู้สึกมันต่างออกไป

ไม่ใช่เราไม่รู้เกี่ยวกับร่างกายเรา
เราเคยมีอาการคล้ายๆแบบนี้ เป็นช่วงเวลาสั้นๆมาแล้ว 2 ครั้ง

ครั้งแรก เกิดจากยาที่คุณหมอจ่ายให้ซึ่งเราไม่รู้ชื่อยา
ตอนนั้น เราสลบกลางอากาศเลย ไม่ได้เป็นลมนะ
เป็นช่วงเวลาใกล้ค่ำ เรายืนซื้อขนมอยู่ ระหว่างที่รอ
อยู่ๆก็เหมือนปลั๊กหลุด เราล้มตึงหัวฟาดพื้นปูน เลือดออกที่หัวนิดหน่อย
มีคนมาช่วยกัน ไม่กี่วินาทีเรารู้สึกตัว แล้วก็เริ่มเจ็บๆที่หัว
ก็ส่งรพ.กันไป เราขอให้พาไปรพ.ประจำของเรา ซึ่งไกลจากที่นั่นพอสมควร
แต่พี่ที่พาไป ก็อุตส่าห์ไปส่งให้ เป็นรพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ที่มีประวัติของเรา
แล้วทุกอย่าง ก็ดำเนินไปตามขั้นตอนของมัน เอ๊กซเรย์ดูว่ากระโหลกร้าวมั๊ย
แอดมิทดูอาการทางสมอง พอโอเค เราขอออก คุณหมอก็จ่ายยามาให้กินตามปกติ
หลังจากกินยา เราก็แย่มาก มันเป็นอะไรไม่รู้ รู้สึกแย่ตลอดเวลา
เพราะจะร้องไห้ได้ทุกนาที จิตตก งงตัวเอง
สุดท้าย กลับไปหาหมอ หมอให้หยุดยา ประมาณ2วัน หายเป็นปกติ
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นเรารู้สึกทันทีว่า
ร่างกายเรา พร้อมที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าง่ายเหลือเกิน
คนอื่นเค้ากินยากัน ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

ที่มั่นใจอีกครั้งคือ ครั้งที่2นี่ Roaccutane (Isotretinoin 10 mg)
หลายคนคงพอรู้ว่า เป็นยารักษาสิว
ถามว่าเป็นสิวมากมั๊ย ก็ไม่ เมื่อเทียบกับคนอื่น
แต่..มันมาก สำหรับคนไม่เคยเป็นสิวในวัยรุ่นเลย
พอคุณหมอคลินิคผิวหนังชื่อดังเสนอ เราก็กิน
ผ่านไปหลายวัน เราก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับอารมณ์
มันแย่มากๆ บอกไม่ถูก ทุกอย่างแย่ไปหมด
จนวันนึง เรายืนที่ระเบียงชั้น3 แล้วจู่ๆก็คิดขึ้นแว๊บนึงว่า
ถ้าตกจากระเบียงชั้น3 จะเป็นยังไง จะตายมั๊ย?
คิดเองก็ตกใจเอง ว่าทำไมถึงคิดอะไรแบบนี้
เราเดินกลับเข้ามา เปิดNetbook เช็คไปเรื่อย
ไม่รู้ว่าอยู่ๆ มันไปถึงข้อมูลของยาRoaccutaneได้ยังไง
อาจจะเป็นประสบการณ์จากยาครั้งที่แล้ว ทำให้เราสงสัย
เราค้นข้อมูล แล้วพบว่า มีคนเกิดภาวะซึมเศร้า หลังจากกินยานี้
เราชะงัก ตั้งสติคิด แล้วตัดสินใจหยุดกินทันที
ผ่านไป 3-4 วัน ทุกอย่างก็ดีขึ้น

ตอนนั้นเราเริ่มคิดแล้วว่า
เรามีแนวโน้มจะเกิดภาวะซึมเศร้าง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ??
มันเป็นคำถามในใจ ที่ไม่ได้หาคำตอบแต่อย่างใด
เพราะหลังจากนั้น ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นอีก
จนครั้งนี้แหละ ครั้งที่เราต้องเดินเข้าไปแผนกจิตเวชตามที่เล่ามาทั้งหมด

ยิ่งคุณหมอบอกว่า มันเกิดจากร่างกายเรา
เรายิ่งรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน หูอื้อ ตาลาย
เรากลับถึงบ้าน แล้วนั่งพิงหมดอาลัยตายอยาก

ตั้งคำถามว่า..ถ้าโรคนี้ มันเกิดเพราะสมองของเรา
แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้กับมัน
ก็สมองควบคุมทุกสิ่งไม่ใช่เหรอ
เราก็เห็นๆกันอยู่ คนที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน
แม้หัวใจยังเต้น ยังหายใจ มันจะต่างอะไรกับผัก

แล้วเราจะทำยังไง ไม่ว่าเราอยากจะต่อสู้แค่ไหน
ถ้าสมองเราสั่งให้เราเป็นแบบนี้ เราจะทำยังไง
เราคิดถึงเนื้อเพลง..

ทำตามที่สมองสั่ง ทั้งๆที่ตรงข้ามกับหัวใจ
(เพลง จุดอ่อนของฉันอยู่ที่หัวใจ)

สั่งสมองให้คอยควบคุมใจ
แต่จะสั่งการยังไง ก็ฉุดใจไว้ไม่ไหว
เมื่อสมองและหัวใจไม่ยอมเดินไปด้วยกัน
(เพลง ความเคยชิน)

ความเป็นจริง มันใช่เหรอ
สมองมันควบคุมทุกอย่าง หัวใจไม่ได้มีหน้าที่คิดซักหน่อย
นั่นมันในเพลง..

แม้เราจะบอกว่าเรารักใครด้วยหัวใจ แต่จริงๆมันใช่เหรอ
ตามหลักวิทยาศาสตร์ มันเป็นแบบนั้นเหรอ
เราคิด เรารู้สึก เรารัก เราต้องการ  ด้วยหัวใจเหรอ
เราว่าไม่นะ .. ด้วยสมองรึเปล่า ??

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราตั้งคำถามวนเวียน

น้ำตาไหล..

ถ้าเพราะสารเคมีในสมอง หรือ
การทำงานที่ผิดพลาดอะไรซักอย่างของสมอง ทำให้เราเป็นแบบนี้
แล้วเราจะทำยังไงกับชีวิตในวันข้างหน้า

คุณหมอบอกว่า รักษาได้ ใช่ค่ะ เรารู้
แต่นั่น ก็ไม่ได้หมายความว่า จะกลับมาเป็นซ้ำไม่ได้
และถ้ามันกลับมาเป็นซ้ำอีก ในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต
เราจะทำยังไง

จะให้เราสู้ด้วยหัวใจเหรอ สู้ยังไง สมองมันคุมใจนะ
สู้ด้วยใจน่ะ มันแค่สัญลักษณ์

วันแรกที่กินยา เรามั่นใจว่าเราต้องกินไปอย่างน้อย 6 เดือน
ตามที่อ่านข้อมูลมามากมาย
วันที่คุณหมอบอกกับเราว่า อาจจะต้องกินยาถึง 6-7 เดือน
แว๊บนั้น เรารู้สึกว่า 2 ปีรึปล่าว??

เรารู้สึกชัดเจนมาก ว่า
ชีวิตหลังจากนี้ จะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป
เราไม่ได้ต่อต้านการกินยา และถึงจะต่อต้าน
เราจะมีทางเลือกอะไรอีก
มันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้
สารเคมีในสมอง มันคืออะไร เรายังไม่รู้เลย

เราเปิดเพลงนี้ขึ้นมาฟัง

.........
ชีวิตทำไมยากเย็นขนาดนั้น สองมือจะมีเรี่ยวแรงขนาดไหน
แต่หัวใจของคน ยังยืนยันจะไม่ถอดใจ
.........
วันเวลาไม่เคยจะหยุดเดิน อย่างไรเราคงต้องเดินไปกับมัน
เก็บทุกความผิดพลั้ง เป็นคำเตือนให้เราเข้าใจ
ชีวิตเริ่มตรงที่คำว่าฝ่าฟัน ขอเพียงใจเราเท่านั้นไม่หวั่นไหว
บทชีวิตของเรา เราจะทำให้มีความหมาย
..
ในค่ำคืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาวอยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้าวไป
ยังคงมีรักแท้เป็นแสงนำไปในคืนที่หลงทาง
..
นาทีที่ความฝันนั้นพร้อมเป็นเพื่อนตาย
เส้นทางนี้ฉันยังมีจุดหมาย
ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไร
จะไปจนถึงแสงสุดท้าย
.........
.........
ในค่ำคืนที่ฟ้าท้าทายใจคนอยู่ตรงนี้ และฉันยังคงก้าวไป
.........


ในค่ำคืนที่ฟ้าท้าทายใจคนอยู่ตรงนี้ และเรายังคงร้องไห้


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  จิตแพทย์


11 เมษายน 2555

โรคส่วนตัว


นอกจากเราจะมีโลกส่วนตัวสูงแล้ว
วันนี้ เรายังมีโรคส่วนตัวยาวอีกด้วย

ก็โรคส่วนตัวชื่อยาวๆเนี่ยะแหละค่ะ
Major Depressive Disorder

เอาจริงๆแล้ว เราเขียนโพสต์ใหม่เรียบร้อย
แต่กลัวจะดราม่าเกินไป
เลยอยากทิ้งให้มันตกตะกอนก่อน
แล้วค่อยคิดว่าควรจะเอาลงดีมั๊ย ก็เลยเอาอันนี้มาคั่นก่อน

คือ หลังจากหาหมอล่าสุดและหมอบอกว่าเป็นโรคนี้
คืนนั้น เราร้องไห้
เขียนblogช่วงนั้นอาจดราม่าเล็กน้อย

กลับมาเรื่องโรคส่วนตัวชื่อย้าวยาวกันต่อ
ไม่รู้เราจะอคติเกินไปมั๊ย แต่เราว่า
Major Depressive Disorder
ไม่ควรจะมาแปลเป็นภาษาไทยว่า โรคซึมเศร้า
จะเป็นชื่ออะไร เราก็ไม่รู้หรอก
แต่มันทำให้คนทั่วไปเข้าใจโรคนี้ผิดๆ
ถ้าเราไม่เป็นซะเอง เราก็คงเข้าใจว่า
คนเป็นโรคนี้ จะท้อแท้ เศร้าสลด หดหู่ ร้องไห้เป็นเผาเต่า ฯลฯ
ทั้งๆที่อาการของโรค มันก็มีมากมาย บางคนอาจจะโมโหร้ายก็ได้

เราคิดว่า
เป็นการตั้งชื่อโรคที่ฟังแล้วตัดสินอาการของโรคไปแล้วตั้งแต่ได้ยินชื่อ

อย่างโรคอื่นๆ ยังอาจมีการหาความรู้เพิ่มเติมว่ามันเป็นยังไง
อาจแค่ซักถามนิดหน่อยก็เหอะ แต่ไม่ใช่ตัดสินไปเลยตั้งแต่ฟังชื่อโรค
อย่างเช่น โรคเริม โรคตากุ้งยิง โรคงูสวัด หรือ แม้แต่มะเร็งก็เถอะ
มันเป็นชื่อโรคที่ถ้าเราไม่รู้จักมาก่อน เราคงต้องถามต่อว่า แล้วมันเป็นยังไง

แต่ "โรคซึมเศร้า" ตัดสินทันที อย่างที่บอก

จะว่าไปโรคทางจิตเวชเยอะเลยที่เป็นแบบนี้
โอเค โรค มันก็คือ โรค จะให้มันสวยงามแสนดีก็ใช่อยู่
แต่ฟังแล้วมันน่ากลัว
ฟังแล้วตัดสิน
ฟังแล้วเข้าใจผิด
ทำให้เราไม่อยากใช้ชื่อโรคเป็นภาษาไทยเลย

ยิ่งได้เข้าวงการ 5555
พูดคุยกับคนที่เป็นโรคทางจิตเวชหลายคน
ก็เลี่ยงไปใช้เป็นภาษาอังกฤษ ก็ดูแต่ละโรคสิ

Obsessive Compulsive Disorder (OCD)
โรคย้ำคิดย้ำทำ

Bipolar Disorder (BPD)
โรคอารมณ์แปรปรวนชนิดสองขั้ว

Panic Disorder
โรคตื่นตระหนก

คนที่เป็นโรคเหล่านี้ ถ้าบอกชื่อโรคปุ๊บ
คงถูกตัดสินทันที โดยที่ไม่ถาม ไม่ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม

อย่างโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดสองขั้ว
ใครบอกคนอื่นว่าเป็น คงถูกตัดสินทันทีว่า
คนๆนั้นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คุ้มดีคุ้มร้าย มีดีสุดๆกับร้ายสุดๆ
แต่ถ้าบอกชื่อโรคเป็นภาษาอังกฤษ ยังได้มีโอกาสอธิบายบ้าง (มั้ง?)


ป่วยแบบนี้ก็ดี (แต่ก็อยากหายนะ)
ทำให้เราได้รู้ได้เห็นอะไรเยอะขึ้น
ได้มีโอกาสทำอะไรเพื่อคนอื่นโดยไม่ต้องใช้ทุนทรัพย์เลย

หลังจากทำblogนี้ ได้คุยกับหลายๆคน
ทั้งผู้ป่วยจิตเวชคนอื่น รวมถึงคนที่มาให้กำลังใจ
วันนี้ ยังไม่หาย ก็สามารถทำเพื่อคนอื่นได้
วันหน้า ถ้าหาย
เราสัญญาว่าจะอุทิศชีวิตส่วนหนึ่งนอกเหนือจากงาน
เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หวังให้ถึงวันนั้นเร็วๆนะ
^_^


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  สมอง - หัวใจ


06 เมษายน 2555

คุณหมอของเรา [5th]


พฤหัส ที่ 5 เมษายน 2555 วันหมอนัดค่ะ

ฝนตกแต่เช้า งง ก็แถวบ้านเรายังสว่างจ้า ทำท่าจะมีแดดด้วยซ้ำ
เปิดtwitterเช็คการจราจร พบว่า
ฝนได้เข้ายึดพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยฯ และแถบปทุมวัน เรียบร้อยแล้ว
รามาฯจะเหลือเร้อ - -"
เลยเปลี่ยนเส้นทางนิดหน่อย ก็กลัวจะหนีเสือปะจระเข้เหมือนกัน
แต่โชคดี ไปถึงก่อนเวลานัดตั้งชั่วโมงนึง

คุณหมอก็ยังเป็นคุณหมอเหมือนเดิม
(นั่นสิ จะให้เป็นอะไรล่ะ 5555)
ถามทั่วๆไป เรื่องนอน เรื่องอื่นๆ เหมือนเดิม

ครั้งนี้เราไปแบบค่อนข้างลั้ลลานะ
มันชิลล์มาก อาจเพราะรู้สึกคุ้นเคยกับหมอแล้ว
คุ้นเคยกับการต้องตื่นเช้าเดินทางไปโรงพยาบาล
คุ้นเคยกับทุกอย่างในแผนกจิตเวช
รวมทั้งราว 20 วันที่ผ่านมา ทุกอย่างก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก

แต่กลายเป็นว่า..คุณหมอชวนคุยไปคุยมา
เราร้องไห้ซะงั้น ร้องเยอะมากด้วย
เคยร้องไห้ครั้งนึง แต่แค่น้ำตาซึมแล้วรีบคว้าทิชชูมาซับ ก็จบ
แต่คราวนี้ไม่สิ พยายามกลั้น ยิ่งล้น
แถมในกระเป๋าก็ไม่มีทิชชูอีก โอยแย่
ร้องไป พูดไป ปาดน้ำตาไป เหลือบมองทิชชูในห้อง
มันอยู่ข้างหลังห้อง ไกลเกินจะคว้ามา

ซักพัก คุณหมอคงสังเวช -"- หยิบมาวางให้

ก่อนหน้าจะพบคุณหมอ เรานั่งมองอยู่หน้าห้อง
มีคนไข้ก่อนเรา 3 คน ซึ่งเข้าไปไม่นานนะ โดยเฉลี่ย 10-15 นาที
เราไม่รู้ว่า เค้าใช้เกณฑ์อะไรวัด ว่าต้องใช้เวลาพูดคุยกับคนไข้
มากน้อยแตกต่างกันแค่ไหน

ครั้งนี้เราคุยกับคุณหมอนานมาก
เกี่ยวกับเรื่องทางบ้าน ในฐานะที่เราเป็นลูกคนโต
คุณหมอคุยเกี่ยวกับความคิดเราหลายอย่าง
วิธีคิด ที่จะทำให้ชีวิตมันมีความสุขกว่านี้
วิธีมอง ความรับผิดชอบต่างๆที่เราแบกมาตลอดชีวิต

เอาเข้าจริง ถามว่า เราคิดแบบนั้นได้มั๊ย
ไม่ได้หรอก เพราะถ้าเราคิดได้ คงไม่ต้องคุยกันแบบนี้
เราคงคิดและทำไปแล้ว
แต่ถามว่า มันมีประโยชน์มั๊ย อยากบอกว่า
มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

มันทำให้เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นอีกมุม
เป็นวัตถุดิบให้เราใช้ตัดสินใจในอีกหลายๆเรื่องต่อไป

คำแนะนำจากคนอื่น ก็เหมือนหนังสือที่เราอ่าน หนังที่เราดู
นอกจากความบันเทิงแล้ว มันคือ วัตถุดิบ
ที่เราสามารถเก็บไว้ เพื่อเอามันมาประมวลใช้ในโอกาสต่างๆ

คนที่อ่านหนังสือเยอะ ก็ไม่ได้แปลว่า เค้าจะนำมันมาใช้ได้ทุกอย่าง
แต่ก็ดีกว่าไม่อ่าน นั่นก็ วัตถุดิบน้อยเกินไป ที่จะให้มันตกผลึกได้

วันนี้เราบอกคุณหมอเรื่องblogนี้ด้วย
printสถิติ ที่เห็นเฉพาะเจ้าของblog ไปให้คุณหมอดู
บอกว่าหลังจากเป็นคนป่วยที่นี่ได้ซักพัก เราก็ทำblogนี้ขึ้นมา
แล้วที่เหลือเชื่อมากคือ สถิติคนเข้ามาอ่าน
รวมทั้งคนที่เข้ามาพูดคุยในtwitter

คุณหมอจะจดURLเพื่อไปดู
เราบอก ก็เอาอันเนี่ยะ เราprintมาให้ มีURLเรียบร้อย
แล้วเกริ่นไปนิดนึง ว่าแซวไว้เยอะเหมือนกัน
แอบเห็นสีหน้าคุณหมองุนงงเล็กน้อย เราก็บอกไปว่า
เราไม่ได้ระบุชื่อคุณหมอนะ แต่ระบุชื่อโรงพยาบาล

ครั้งนี้เราก็กินยาตัวเดิมเด๊ะๆ ส่วนวันนัดครั้งต่อไป
ก็อีก 3 สัปดาห์เหมือนช่วงแรกๆ

มาถึงเรื่องที่สะเทือนอารมณ์เราพอสมควร
เราเก็บไว้ท้ายๆ เพราะคงต้องไปเขียนเพิ่มในโพสต์ถัดไป
นั่นก็คือ

คุณหมอบอกเราว่า หลังจากเอาข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้น
จากการรักษามาราว 2 เดือนกว่าๆนี้ ไปวิเคราะห์แล้ว
สรุปได้ว่า เราเป็น
Major Depressive Disorder

อืม ก็โรคซึมเศร้านั่นแหละ ถามว่า จะมีอะไรต่างจากนี้มั๊ย
มันก็ไม่หรอกนะ แต่สะเทือนอารมณ์ พอๆกับตอนที่เอายาไปเช็คนั่นแหละ
ที่เราเคยบอกว่า รู้ว่าเป็นเฉยๆ กับรู้ว่าเป็นแล้วต้องกินยา
ความรู้สึกมันต่างกันมากมายนัก

และก็อีกนั่นแหละ เมื่อพบคุณหมอใหม่ๆ 
เราถามคุณหมอว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าใช่มั๊ย
คุณหมอบอกว่าไม่ เป็นภาวะซึมเศร้า 
ซึ่งเราก็เคยบอก  แล้วยังไง? มันจะต่างอะไร? 

แต่สำหรับวันนี้ ที่คุณหมอรักษาเรามานานพอสมควร
ที่จะรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปได้ว่า เราเป็นโรคซึมเศร้า 
ความรู้สึกมันก็ต่างอยู่ดี เหมือนจะเซล้ม ทั้งๆที่นั่งอยู่

โดยเฉพาะสิ่งที่คุณหมอบอกว่า 
น่าจะเป็นเพราะร่างกาย มากกว่าปัญหาทางจิตใจ
และอาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์

จะมีใครรู้มั๊ยว่าเรารู้สึกเหมือน
โลกหยุดหมุนไป 10 วินาที


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  โรคส่วนตัว

ยานอนหลับ


อันที่จริง เราอยากup blogให้ถึงช่วงเวลาใกล้เคียงปัจจุบันที่สุด
แต่อย่างที่บอก ด้วยโรค ช่วงแรกมันทำไม่ได้จริงๆ
ยังดี ที่เรามีบันทึกสั้นๆไว้ เปิดย้อนกลับไปดูได้
ถึงเขียนออกมาได้เยอะขนาดนี้

ตั้งใจจะup blog การไปพบคุณหมอเป็นครั้งที่5
แต่เอาอันนี้คั่นไว้ก่อนละกันนะคะ

จะได้เล่าเหตุการณ์ทั่วไปในราว 20 วันก่อนพบคุณหมอ

เราได้ยาที่ช่วยในการหลับมา พร้อมยารักษาซึมเศร้าเพิ่มอีกตัว
เฮ้อ! แต่ก็เอาเถอะ

วันแรกเรากินยาค่อนข้างเร็ว และนอนได้ยาว ติดกัน 7 ชั่วโมง
ฟินาเล่!

คือเราตื่นเวลาเดิมนั่นแหละ แต่เข้านอนเร็วขึ้น
ที่สำคัญคือ มันได้นอนติดกันยาว สบายนะ
ใช้คำว่า ฟิน ในblogก็กระไรอยู่
แต่ถ้ายุคนี้ ขอบอกว่า ฟินอะ!! >_<

เรากินยาติดกัน 8 คืน
ก็นอนได้เป็นปกติ แต่ไม่ถึง 7 ชั่วโมงแบบวันแรก
เพราะเราเข้านอนดึก ให้เรานอนก่อนเที่ยงคืน มันยากนะ
เราก็ไม่อยากฝืนขนาดนั้น ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า
ไม่ไปหลับตอนตี 4 ก็ดีขนาดไหนแล้ว

หลังจากกินยาติดกัน 8 คืน
ก็เริ่มกินคืนเว้นคืน ก็หลับได้อยู่ แต่มีกังวลเล็กน้อยว่าจะหลับมั๊ย
ที่สุดก็หลับได้ ก็กินคืนเว้นคืนจนถึงวันพบหมอ

และช่วงนี้เราก็เริ่มออกกำลังกาย หลังจากจำวันออกกำลังกายล่าสุดไม่ได้
-"-
ตอนแรกเราตั้งใจจะออกกำลังกายด้วยการเดิน เดินเร็วๆ
เราว่ามันเซฟเข่าดีกว่าการวิ่ง
เพราะเห็นคนออกกำลังกายหลายคน เข่าเดี้ยงตั้งแต่ยังไม่แก่เลย

แต่สุดท้าย ก็มาลงที่เครื่องออกกำลังกาย
แฟนเราลงทุนซื้อมาให้ อันนี้เลย




แต่รูปนี้เราเอาจากในเว็บ ต้องขออ้างอิง CITY SPORT'S 

ก็ดีตรง มันอยู่ในบ้าน ไม่ต้องล้างหน้าแปรงฟัน
ก็เล่นได้เลย 555 ไม่ต้องแต่งตัวออกนอกบ้านไปพบปะใคร
แต่ก็อยู่ที่วินัยของตัวเอง เพราะอย่างที่รู้
เห็นมันตั้งอยู่ ก็อาจคิดว่า ออกกำลังกายเมื่อไหร่ก็ได้
แต่เราก็พยายามนะ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามต่อไป
วันไหนไม่ไหว ก็โลกสวยไปก่อนว่า พักร่างกาย
แต่ว่า ถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรง ก็ต้องมีวินัยแหละ

ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆบนโลกใบนี้
^_^



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [5th]

04 เมษายน 2555

คุณหมอของเรา [4th]


คุณหมอเรียกเข้าไปห้องตรวจแล้วอึ้ง (ถ้าจำไม่ผิด ห้อง22นะ)
คือ ดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่ห้องตรวจ แต่เป็นห้องเรียน
แล้วเอาโต๊ะมาวางกลางห้อง เวิ้งว้างเชียว

บอกคุณหมออย่างเร็ว ว่ามาก่อนวันนัด
ระหว่างคุณหมอก้มลงมองแฟ้ม เราก็ซัดตรงประเด็นเลย
" คุณหมอคะ ขอยานอนหลับ ได้มั๊ยคะ "
คุณหมอเงยหน้าขึ้นมา

และแล้ว.. อืม ชีวิตมันไม่ง่ายเน๊อะ
ถ้าง่าย คงไม่ต้องมานั่งอยู่ในแผนกจิตเวชแบบนี้

คุณหมอบอกวิธีกินและวิธีถอนยา
พอนอนได้เป็นปกติแล้ว ก็อาจจะลดเป็นวันเว้นวัน อะไรประมาณนี้
คือ ค่อยๆหยุด  ..เอาเข้าจริงเราก็ยังงงอยู่ดีแหละ
แต่ยังไงก็ได้ ขอยานอนหลับเหอะ ก่อนที่เราจะแย่ไปกว่านี้

คุณหมอก็ถามตามปกติ เราก็เล่าว่า
นอนไม่หลับเลย กว่าจะหลับ เหนื่อยมากๆ
อยู่ๆก็นึกถึงสมัยก่อนนู่นนน อายุ 14
แล้วก็เหมือนจะพูดอยู่คนเดียว แบบเล่าให้คุณหมอฟังเนี่ยะแหละ
เราก็บอกว่า ที่นอนไม่หลับ คงเพราะพ่อแม่มา
เห็นคุณหมอแบบขมวดคิ้วนิดนึง
แล้วก็ซักต่อ เราก็เล่าหลายเรื่อง

พบกันครั้งที่ 4 แล้วสินะ
แต่เราไม่เคยพูดเรื่องทางบ้านเลย
และดูว่าโปรไฟล์ที่ให้ไว้ก็ค่อนข้างดี คุณหมอก็ไม่เคยถามถึง
เราเห็นหลายประโยคที่เราเล่า ทำให้คุณหมอขมวดคิ้วหลายครั้ง
สุดท้าย คุณหมอบอกว่า
เดี๋ยวมีเวลา ต้องมาเคลียเรื่องทางบ้านหน่อยละ
ประมาณว่า มันส่งผลมาถึงเราตอนนี้
(จำได้แค่นี้ค่ะ คุณหมอพูดเยอะกว่านี้แหละ)

แล้วก็กำหนดวันนัดเป็นวันที่ 12 เมษา
ก่อนออกจากห้องตรวจ
เราแอบแซวคุณหมอว่า " ห้องตรวจเก๋นะคะ "  >_<
แต่คุณหมอไม่รับมุก " อ๋อ มันเป็นห้องเรียนน่ะครับ "
แป่ว! ถ้าคุณหมอหัวเราะซักนิดกับมุกที่เราชงไป มันก็ผ่านละ
เราเลยมุกแป๊ก #ยืนไว้อาลัยให้มุก2วินาที

พอเราไปออกใบนัดครั้งต่อไป คุณพยาบาลดูวันนัด
มองหน้าเรา แล้วถามว่าจะเลื่อนมั๊ย ไปไหนรึเปล่า
เราบอกว่าไม่มีแพลนไปไหน และมันอีกตั้งเดือนนึงเชียว
เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเลื่อนเราก็ไม่มีปัญหาอะไร
คือ เราไม่รู้เหมือนกันว่า ณ วันนั้นที่มันติดวันหยุดยาว
โรงพยาบาลเค้าจะมีกิจกรรมอะไรรึเปล่า
หรือเจ้าหน้าที่จะลากัน จนไม่สะดวกรึเปล่า ก็เลย อืม เลื่อนก็ได้ค่ะ
คุณพยาบาลก็เลยเลื่อนขึ้นมาเป็น 5 เมษา
นั่นก็แสดงว่า อีก 3 สัปดาห์ .. ว่ากันไป

ไปรับยา คราวนี้ได้มา 3 ตัว เอิ๊ก จะเป็นลม
ก็คือ ยาตัวเดิม ยานอนหลับ (คือ เดาเอาจาก หน้าซองบอกว่ามันจะง่วง)
จริงๆแล้วยาตัวนี้เราเคยได้มาแล้วนะ ก็ครั้งแรกที่มานั่นแหละ
แล้วคุณหมอก็งดไปนานแล้ว
ว่าสิ..ช่วงแรก หลับทั้งวี่ทั้งวันเลย

ส่วนยาอีกตัวทำเอาเราเครียด Searchมา ได้ประมาณนี้
ยานี้ใช้สำหรับ
-รักษาอาการซึมเศร้า อาการวิตกกังวล
-ลดอาการกระวนกระวาย
-อาจใช้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่นๆได้ ดังนั้นหากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร

T_T  ......แต่เอาเหอะ จะทำยังไงได้ล่ะ
สมองน้อยๆของเราฝากไว้ในมือคุณหมอแล้วนะ
เรามีหน้าที่กินยา และพยายามทำให้ร่างกายไม่แย่ลงไป
นอนให้ได้ กินให้ได้ ออกกำลังกายให้ได้
ที่เหลือ..คงต้องรอเวลา
(รึปล่าว??)


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ยานอนหลับ


ไปรพ.ก่อนวันนัด


ล่าสุดเราไปพบคุณหมอเมื่อ พฤหัสที่ 1 มีนา
และคุณหมอนัดอีกครั้ง พฤหัสที่ 29 มีนา
ก็คือ 4 สัปดาห์พอดี

เราก็คิดนานมาก ว่าจะทำยังไงดี จะไปดีมั๊ย
ถ้าไปก็คือ ไปล่วงหน้าตั้ง 2 สัปดาห์
หรือจะรอดู ถ้าไม่ดีขึ้น ค่อยไปพฤหัสหน้า
แต่มาคิด ถ้ารอได้ถึงพฤหัสหน้า เราคงรอจนครบ 4 สัปดาห์แน่ๆ

เราเกรงใจนะ ยิ่งโรงพยาบาลรัฐก็ยิ่งเกรงใจ
คนเยอะมาก แน่นไปหมด
ห้องตรวจก็ไม่พอ คุณหมอก็ไม่พอ ไม่อยากไปเพิ่มภาระ

แต่คิดอีกแง่ ถ้ามันแย่กว่านี้ แล้วเลยเถิด
เราอาจจะต้องไปบ่อยกว่าเดิม
ก็เพิ่มภาระให้โรงพยาบาลอยู่ดี

ลองโทรไปสอบถามในวันจันทร์ช่วงบ่าย
(ช่วงเช้าไม่ควรโทรนะคะ คุณพยาบาลยุ่งมาก)
บอกว่า ถ้าจะไปพบคุณหมอ XX ในวันพฤหัสที่จะถึง
แต่ยังไม่ถึงกำหนดนัดได้รึเปล่าคะ มีปัญหานิดหน่อย
คนที่รับสาย บอกว่า ขอเช็คหน่อยว่าคุณหมอลงมั๊ย
ไม่ได้ถามอะไรเรามากมาย ว่าเป็นอะไร

ซักพักก็บอกว่า คุณหมอลงตรวจนะคะ มาได้เลย
มาเช้าหน่อยก็ดี จะได้ไม่รอนาน ซักก่อน 10 โมง
โห เราก็นึกว่าเช้าที่ว่า แบบ7โมงอะไรแบบนั้น -"-
ก็เก็บข้อมูลไว้

พอวันรุ่งขึ้น (วันอังคาร) เราก็ต้องไปรามาฯอยู่ดี
เพราะพ่อกับแม่ ต้องไปตรวจตาตามกำหนดนัดของหมอ
ไปเจอพ่อแม่ที่รพ. แล้วอะไรหลายอย่างที่ตามมาในวันนั้น
ทำให้เราตัดสินใจได้เลย ว่าต้องพบคุณหมอให้เร็วที่สุด
ขอไม่เล่าเหตุการณ์ตรงนี้ แต่เราเล่าให้คุณหมอฟังนะ
ดูคุณหมอจะอึ้งๆอยู่เหมือนกัน เฮ้อ....

วันพฤหัส
เราไปถึงโรงพยาบาลราว 8 โมงเช้า
ขั้นตอนก็คือ ใช้บัตรนัดใบเดิมเลยนะคะ
ไปถึงก็ชั่งน้ำหนักให้เรียบร้อย กรอกลงในใบนัด
แล้วใส่ช่องคนไข้ที่ไม่ได้นัด
มันจะมีกล่องให้ใส่ ซึ่งปกติเราจะใส่ช่องคนไข้นัด
หลังจากนี้ก็นั่งรอค่ะ รอๆๆๆๆๆ
เราทำใจแล้วว่า ต้องรอนานแน่นอน
เพราะทุกครั้งที่มาตามนัด เราจะเป็นคิวแรกตลอด ตามเวลาเป๊ะเลย
เรียกว่าไม่ต้องรอ แค่มาให้ทันก็หอบแฮ่กแล้ว

รอไปชั่วโมงครึ่งก็ยังไม่เรียก ก็เข้าใจนะคะ
เห็นจนท.ยกแฟ้มมาทีไร ก็ชะเง้อคอยาวเป็นยีราฟเลย
แต่ใจชื้นตอนเห็นคุณหมอของเราเดินเข้ามา ช่วงเกือบๆ 9 โมงครึ่ง
ที่สังเกตได้อีกอย่างคือ มีเด็กเยอะมาก คงเพราะปิดเทอมแล้ว

ราวครึ่งชั่วโมง คุณพยาบาลก็เรียกให้ไปรอหน้าห้องตรวจ
เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า ข้างในจะมีห้องตรวจเยอะขนาดนี้
เพราะเคยแต่ตรวจห้องด้านนอก
เดินลัดเลาะไป น่าจะมีราว 20 กว่าห้องเห็นจะได้
เรารอห้องสุดท้ายเลย ซึ่งก็มีอีก 3 คิว

เห็นบรรยากาศแล้ว
ตั้งใจจะคุยกับคุณหมอให้น้อยที่สุด เพราะเกรงใจ
ทำไมคนป่วยเยอะขนาดนี้นะ
แล้วปีๆนึงผลิตแพทย์ด้านนี้ได้ไม่กี่คนเท่านั้น
แล้วเมื่อไหร่จะพอ

นั่งฟุ้งไปเรื่อยจนถึงคิวเรา .....


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [4th]



03 เมษายน 2555

แผลเปิด


เราไม่คิดว่า แผลเก่าในอดีตที่ดูเหมือนเราจะลืมไปแล้ว
และไม่คิดว่าจะส่งผลต่อชีวิตปัจจุบัน มันถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะอะไรก็ไม่รู้ เพราะยา? เพราะโรค? หรือ ขั้นตอนการรักษา?
ตั้งแต่รักษา แผลนั้นแผลนี้ก็เปิดเรื่อย
ที่คิดว่าลืมไปแล้ว ก็กลับมาคิดวนเวียน ที่กดเอาไว้ ก็โผล่ขึ้นมา

เราเริ่มนอนไม่หลับอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ธรรมดา เพราะไม่ใช่แค่ไม่หลับ
แต่อยู่ๆเรื่องราวชีวิตตั้งแต่อายุ14ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
ทำให้เราคิดวนเวียน ภาพเก่าๆมันกลับมาทั้งหมดได้ยังไง

ทุกๆคืนเราจะพูด(แต่ไม่ออกเสียง) ก็เหมือนคิดนั่นแหละ
แต่เป็นการพูดกับคุณหมอของเรา
เหมือนเราเล่าเรื่องทั่วไปให้คุณหมอฟังทุกครั้ง
เราพูดแบบนั้นทุกคืน จนเหนื่อย ฟุ้งไปหมด
กว่าจะหลับลงได้ แต่ละคืน ทรมานมาก

น่าจะเป็นจากที่เราเล่าโพสต์ที่แล้วว่า
พ่อกับแม่จะมา ในอีกไม่กี่วัน
พ่อกับแม่เราอยู่ต่างจังหวัด เกษียณราชการแล้ว
ไปทำสวนตามประสาที่เค้าอยากทำ
และจะต้องมาตรวจเช็คที่คลินิคตารพ.รามาฯทุก 6 เดือน

ด้วยความที่ลูกๆ อยู่กรุงเทพฯกันทุกคน
เราในฐานะพี่คนโต ก็มักจะหาโอกาสจัดทริปเที่ยวทั้งครอบครัว
วางแผนที่กินที่เที่ยวเสมอๆ
รวมทั้งจัดแจงเรื่องไปหาหมอที่โรงพยาบาล

แต่ในสภาพแบบนี้ เราไม่ไหวจริงๆ เราไม่อยากเจอพ่อแม่
และเค้าก็ไม่รู้ว่าเราเป็นซึมเศร้าอะไรนี่หรอก
เราบอกเค้าว่าไม่สบาย เป็นไทรอยด์
ให้น้องสาวเป็นคนจัดการเกือบทั้งหมด ซึ่งมันผิดปกติวิสัย
เพราะเราไม่ค่อยอยากเจออยากคุยกับพ่อแม่เท่าไหร่

พี่ที่เราสนิทด้วย เอ่ยปากถามเราถึง 2-3 ครั้ง
ว่าเรามีปัญหาอะไรลึกๆกับทางบ้านรึเปล่า
พี่เค้าสังเกตว่าเราทรุดมาก
เราบอกว่า ตอนนี้เราหลับไม่ลงเลย เหมือนพูดจนเหนื่อยทุกคืน
เรื่องเก่าๆก็โผล่มาหมด

วันนั้นเราเลยเล่าบนรถระหว่างทางกลับจากต่างจังหวัด
บนรถ มีแฟนเราเป็นคนขับ และเพื่อนรุ่นพี่เราก็นั่งมาด้วย
เราตัดสินใจเล่า เรื่องที่แม้แต่แฟนเรา เราก็ไม่เคยเล่า
เพราะก่อนหน้านี้ มันไม่โผล่มาแบบนี้จนรบกวนเรา

เราเล่าไปร้องไห้ไป ว่าตอนอายุ 14 แม่เราป่วยหนัก
รักษาตัวอยู่เป็นปี แล้วน้องทั้งสองยังเล็กมากๆ
เลยต้องมีคนช่วยดูแล ซึ่งก็แนวๆพี่เลี้ยงนั่นแหละ
การเข้ามาของพี่เลี้ยงคนนี้ ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เค้ามาอยู่ที่บ้านเรานานมาก มากเกินไป น่าจะราว 3 ปีเลย
ทั้งที่แม่เราหายป่วยแล้ว
มิหนำซ้ำ ยังลากญาติพี่น้องเค้า เข้ามาวุ่นวาย

ตอนนั้นเราไม่อยากกลับบ้านเลย
เราจะกลับให้ช้าที่สุด โดยเรียนพิเศษทุกวัน
เสาร์อาทิตย์ก็เรียน เรียนเสร็จก็เดินไปเรื่อยๆคนเดียว
ไม่อยากกลับบ้าน ส่วนใหญ่จะสิงตามร้านขายหนังสือ
เราไม่รู้จะเอาตัวไปไว้ตรงไหนในบ้าน มันไม่มีพื้นที่สำหรับเราเลย
บางวันเราเดินไปเรื่อยๆเป็นสิบกิโล เข้าห้างนู้นออกห้างนี้
เพราะไม่อยากกลับบ้าน
ทั้งๆที่ ถ้าใครมองเข้ามา บ้านเราอบอุ่นมาก
ฐานะปานกลาง พ่อมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี

เราเล่าให้พี่ที่เราสนิทฟังไป ร้องไห้ไป
พี่เค้าก็คอยถามไป ส่วนแฟนเรานั่งฟังนิ่งสนิทเลย
เราคงเล่าตรงนี้ไม่หมด ว่าเรื่องแค่นี้มันสร้างปัญหาอะไร

ลองจินตนาการว่าเด็กวัยรุ่นคนนึง ไม่อยากกลับบ้าน
ยังดีที่ชอบอ่านหนังสือ หนังสือยังฉุดรั้งชีวิตให้เดินต่อไปได้
เราไม่รู้ตัวเองว่ามันเป็นบาดแผลด้วยซ้ำ
พอเราป่วย เรื่องนี้มันก็ผุดขึ้นมามากมาย
เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกอีกแล้ว

แต่เรื่องนี้เราจะแก้ยังไงเหรอ
เหมือนที่ทำกับแฟนเรา คือ พูดๆๆๆๆ บอกไปว่ารู้สึกยังไงน่ะเหรอ
ไม่มีทางที่จะทำได้หรอก
เพราะถ้าเราพูดกับพ่อแม่ พ่อแม่ต้องร้องไห้แน่ๆ
แล้วเราจะเป็นยังไง ที่ต้องทำให้พ่อแม่ร้องไห้

อาการเราหนักขึ้นเรื่อยๆภายในไม่กี่วัน
วันที่เราเล่าเรื่องนี้บนรถ เรานอนแค่ชั่วโมงเดียว
แถมไปทำธุระที่ต่างจังหวัด เหนื่อยมาก
กลับมา นึกว่าจะเพลียหลับ แต่ก็ไม่
ยังนอนไม่หลับอีก กว่าจะหลับก็ตี2ตี3

เราเริ่มคิดเรื่อง ไปพบคุณหมอก่อนวันนัด
เพื่อขอยานอนหลับ..


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ไปรพ.ก่อนวันนัด


ดีใจ..ได้แป๊บเดียว


วันพฤหัสที่ไปโรงพยาบาลตามนัด
วันนั้นก็เริ่มกินยาสองเม็ดตามคุณหมอสั่ง
ในใจก็หวั่นๆพอสมควร
คือ กว่าจะปรับตัวกับยาได้ เรียกว่าปางตายเลย
แล้วนี่ ต้องกินคูณสองเลยเหรอ แต่ก็ต้องกินอยู่ดี

เราไม่เคยมีวินัยในการกินยาขนาดนี้มาก่อนเลย
เวลาไม่สบาย ก็มีกินบ้างลืมบ้าง
ตอนเด็กๆก็มีแอบทิ้งยาด้วยตามประสา
แต่ตอนนี้ อะไรหลายอย่างมันยากเกินความเข้าใจของเรา
มันไม่ใช่ ปวดท้อง เป็นไข้ เจ็บคอ ที่อธิบายนิดหน่อยก็พอจะเข้าใจ
ว่าเป็นอะไร รักษายังไง ..

แต่เรื่องสารเคมีในสมอง มันเกินความเข้าใจของเรา
ตอนนี้เราก็ยังไม่พร้อมจะศึกษาเรื่องนี้ด้วย
เรารู้เพียงว่า..เรารักสมองของเรา
เรามั่นใจว่าเรามีสมองพอใช้ได้นะ
ยังสามารถใช้สมองทำประโยชน์ให้กับตัวเองและสังคมได้อีกเยอะ
เราจะไม่ยอมเสียมันไปถึงจุดที่รักษาไม่ได้
วันนี้เราต้องดูแลสมองของเรา

เรากินยาที่คุณหมอสั่งเพิ่มปริมาณ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
ก็จะมีอาการเดิมๆอยู่บ้าง เช่น คลื่นไส้ และ กัดฟัน
ยังอยู่ในวิสัยที่พอทน

ปรึกษาทันตแพทย์เรื่องกัดฟัน คุณหมอ @DrWuttibong
ทางtwitter คุณหมอใจดีมาก ตอบกลับมาว่า
สามารถไปปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางบดเคี้ยวได้
ทันตแพทย์จะตรวจและให้การรักษา โดยอาจจะให้ใส่เฝือกสบฟัน
คล้ายๆฟันยางของนักมวย แต่เป็นพลาสติกแข็ง
อาจจะช่วยลดการเกร็งลงได้
เราเก็บข้อมูลไว้ เผื่อไม่ไหวจริงๆ แต่มันก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ยังกัดฟัน แต่ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ เลยไม่ได้ไปตรวจ

กินยาเดิมไปได้ 2-3 วัน
ราวๆวันอาทิตย์นะคะ ถ้าจำไม่ผิด
ปกติจะมีบันทึกสั้นๆไว้ แต่ช่วงนี้บันทึกขาดหาย
เราจำได้ว่า ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
คือ อยู่ๆความเพลียที่ติดแน่นอยู่หลายสัปดาห์มันหายไป
ไม่ถึงกับรื่นเริง แต่สดชื่นขึ้นมาก
เหมือนเงาดำทะมึนที่ครอบงำอยู่ มันไปไหนไม่รู้

เรามั่นใจในวินาทีนั้นว่า ..ถ้าคนสมัยก่อนป่วยแบบนี้
อาจนึกว่าวิญญาณร้ายเข้าสิงอะไรแบบนั้นก็เป็นได้นะ
เพราะมันรู้สึก เบา โล่ง สดชื่น แจ่มใส

เราแอบดีใจอยู่ 2-3 วัน แล้วก็ทรุดอีกครั้ง
วันนั้นเป็นวันมาฆบูชา (7 มีนา)
แฟนเราถามว่าอยากไปเที่ยวไหนมั๊ย เราไม่อยากไป
เค้าก็เลยจะเอารถไปตรวจเช็คทำนู่นทำนี่
แล้วนัดเราว่า จะมารับออกไปหาอะไรกินตอนเย็น
วันนั้นเรารู้สึกเพลียมากๆ
นอนหลับไปตั้งแต่สายๆ โดยไม่รู้สึกตัวตื่นเลย
จนถึงเย็นที่แฟนเรามาเคาะประตูเรียก เราก็ยังงงๆ
ตอนนั้นราวหกโมงเย็นแล้ว
นอนนานเหมือนไม่อยากตื่น ไม่อยากรับรู้อะไร

อันที่จริง เราเริ่มรู้ตัวแล้ว ว่าความกังวลบางอย่างเข้ามา
ทำให้เรารู้สึกแย่ลงอีกครั้ง
แต่คนที่เอ่ยปากถามเรา คือ เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิท
แกถามว่า เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น ทำไมดูทรุดลง
เราตอบไปว่า น่าจะเป็นเพราะพ่อแม่จะมานี่แหละ
เราเลยทรุดลงอย่างอัตโนมัติเลย
และครั้งนี้ดูจะหนักหนาสาหัสอีกครั้ง


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  แผลเปิด


01 เมษายน 2555

มาเป็นกล่องเลย


คุณหมอนัดอีกครั้ง 4 สัปดาห์ถัดไปเลย
ยาก็เยอะกว่าครั้งก่อนเป็นธรรมดา ซึ่งปกติ จะได้ราวๆ 20 เม็ด

คราวนี้ คุณหมอปรับยาให้กินครั้งละ 2 เม็ดเชียว
ก็เลย X2 อีก
อันนี้ก็ไม่รู้ว่า..
จริงๆแล้ว ควรกินปริมาณนี้อยู่แล้ว แต่ให้กินน้อยๆเพื่อปรับก่อน
หรือ เพราะมันไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร เลยเพิ่ม

พอรับยาปุ๊บ ช็อค!
ก็เล่นมาเป็นกล่องๆแบบนี้ แถม 2 กล่องอีกต่างหาก


ที่ผ่านมาเคยได้เป็นแผงกับเศษแผงที่เค้าตัดมาให้
เพราะปริมาณที่คุณหมอจ่าย มันไม่ถึงที่จะให้ทั้งกล่อง
ก็ไม่แน่ใจว่า จริงๆแล้วดีหรือไม่ดีนะคะ ที่ไม่เคยได้กล่อง
เพราะ..บนกล่องมันระบุชัดมากเลย
สรรพคุณ : รักษาอาการของโรคซึมเศร้า


ถ้าได้วันแรก คงไม่ต้องไปค้นแล้วล่ะ จัดเต็มซะขนาดนี้ 
พอเอาเอกสารกำกับยามาอ่าน โอ๊ะโอ ผลข้างเคียงในนั้นระบุไว้เยอะมาก
แล้วเราก็เจอซะเยอะสิ่งเหมือนกัน ก็เลย อ๋อหลายเรื่อง 
เพราะหลายครั้งก็ไม่แน่ใจว่า เป็นอาการของโรค หรือ ผลข้างเคียงของยา 

ถ้าเราถ่ายรูปเอกสารกำกับยามา คงไม่เหมาะ
รวมทั้งมันใหญ่มากค่ะ ใหญ่กว่ากระดาษF4ซะอีก 
อลังการดาวล้านดวงมาก 
แต่จะยกบางประโยคที่เป็นผลข้างเคียงมาให้อ่านนะคะ 

อาการไม่พึงประสงค์ (มันเยอะมากนะคะ เรายกมาเฉพาะที่เราเป็น)

ความผิดปกติของทางเดินอาหาร : ปากแห้ง คลื่นไส้ และ อาเจียน
-- ช่วงแรก เราปากแห้งชนิดที่บ่นว่า จะเหลือปากไว้ทาลิปมันมั๊ยเนี่ยะ
เพราะมันแห้งลอกอย่างน่ากลัว 

ความผิดปกติทางเมตาบอลิซึมและภาวะโภชนาการ : เบื่ออาหาร
-- เบื่ออาหารจริงจังมากค่ะ มันบอกไม่ถูกเลย

ความผิดปกติทางระบบประสาท : วิงเวียน ง่วงนอน ปวดศีรษะ 
-- ตามนั้นเลย โดยเฉพาะช่วงแรก วิงเวียน กับ ปวดศีรษะ เนี่ยะ จัดเต็มมาก
แต่กินยาซักพักก็หาย แต่ง่วงนอนในเวลาไม่ควรนอน เช่น กลางวัน
ยังเป็นอยู่เลยค่ะ 

"กล้ามเนื้อมีความตึงตัวมากเกินไป บดฟันหรือท่าทางการย่างก้าวที่ผิดปกติ"
-- ประโยคนี้ในเอกสารกำกับยาทำให้เราคิดว่า ที่เรากัดฟัน คือ อันนี้มั้ง
บดฟันอะไรเนี่ยะ เพราะช่วงแรกๆกัดฟันตลอดเวลา 
จนเมื่อยหน้าเมื่อยกรามไปหมด แต่ต่อมาก็ดีขึ้นเรื่อยๆนะคะ 

ความผิดปกติทางจิตใจ : นอนไม่หลับ การฝันผิดปกติ 
-- อ่านข้อนี้ปุ๊บ ก็ใจชื้นขึ้นมานิด เพราะตั้งแต่กินยา ฝันเหลือเกิน
ทรมานมาก ฝันอะไรก็ไม่รู้มากมาย ฝันจนเหนื่อยเลยค่ะ 

อันที่จริง ถ้าเรารู้ก่อนหน้านี้ อาจจะดีก็ได้นะคะ ว่ามันคือ 
อาการไม่พึงประสงค์
เพราะช่วงเวลาระหว่างพบคุณหมอครั้งแรกกับครั้งที่ 2 
เป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก กับอาการเหล่านี้ 
ซึ่งบางครั้ง มันทำให้เราแยกไม่ออกว่า นี่คืออาการของโรค หรือ เกิดจากยา
ทำให้มีความกังวลเพิ่มขึ้น 

แต่เมื่อมันผ่านมาแล้ว
เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าเราได้อ่านเอกสารนี้ในระหว่างนั้น
เราจะรู้สึกยังไง เพราะมันไม่ได้มีแค่ที่เราพิมพ์มาให้อ่าน
อาจทำให้เรากังวลจนอุปทานไปเองก็ได้เหมือนกัน 

เป็นอย่างที่มันเป็นไปแล้ว ก็ดีแล้วเนอะ ^_^



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ดีใจ..ได้แป๊บเดียว