24 พฤษภาคม 2555

(น่าจะ)ยังเหลือ


ไม่เป็นไรนะ ถ้าตอนนี้แกยังไม่สะดวกที่จะคุยก้อไม่เป็นไร 
เรื่องเจ็บป่วยแบบนี้ เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน 
แกเป็นคนเก่ง หลายเรื่องแย่ๆ แกผ่านมันมาได้เลย
เรื่องนี้ชั้นก้อมั่นใจนะ ว่าแกก้อผ่านมันไปได้แน่นอน
ชั้นเป็นคนหนึ่ง ที่พร้อมอยู่ข้างแกเสมอนะ
และเมื่อไหร่ที่แกโอเค 
อยากให้ชั้นทำแกงส้ม ทำขนมจีนแกงเขียวหวานให้กิน ก้อบอกนะ
ก้อย

นี่คือ ส่วนหนึ่งของข้อความที่ได้จากเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ
ถึงเวลานี้ก็คงร่วม 20 ปีแล้ว
เพื่อนคงใช้ความพยายามมากในการจะติดต่อเรา
เราปิดมือถือเบอร์ที่เพื่อนส่วนใหญ่ติดต่อได้มาราว 4 เดือนแล้ว
จนสุดท้ายที่เพื่อนติดต่อได้ เราก็ยังขอที่จะไม่คุยด้วยเสียง แต่เล่าทางตัวอักษรคร่าวๆ

คนที่ป่วยด้วยโรคทางจิตเวชหลายคน ต้องสูญเสียอะไรมากมายในชีวิต
หลายคนสูญเสียงาน สูญเสียเพื่อน สูญเสียคนรัก
หลายคนก็สูญเสียทุกอย่าง แม้กระทั่ง "ชีวิต"

วันนี้ เวลานี้ เราสูญเสียความเข้าใจจากครอบครัวไปแล้ว
และอาจจะสูญเสีย งาน และ เงิน จากปัญหาหลายๆอย่างในรอบหลายเดือนนี้
มันทำให้เราอาจจะต้องตัดสินใจปิดกิจการของตัวเองที่สร้างมากับมือ

วันนี้เรายังเหลืออะไรบ้าง ??

เพื่อน

นอกจาก "ก้อย" เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก
เรายังพอเหลือเพื่อนในปัจจุบันอีกบ้าง
ขอบคุณที่พยายามเข้าใจ
ถึงแม้บางครั้งจะเข้าใจยาก แต่ไม่ทอดทิ้งเราไปไหน

ขอบคุณเพื่อนรุ่นพี่ "พี่ยุ้ย" ที่อยู่กับเราเสมอมาทั้งสุขและทุกข์
ขอบคุณเพื่อนรุ่นน้อง "ทราย" ที่เข้าใจว่าใครๆก็เป็นโรคนี้ได้

มิตรภาพบนTimeline
blogนี้ ทำให้เราได้พบกับมิตรภาพบนโลกออนไลน์
จากที่นี่ เชื่อมไป twitter หรือ จาก twitter เชื่อมมายัง blog นี้

เราไม่รู้จะอธิบายยังไงดี 
ทั้งคนที่ป่วยเหมือนกัน
ทั้งญาติผู้ป่วยที่เข้าใจ และคอยมาให้กำลังใจ
ทั้งหลายๆคนที่ได้มาอ่าน และพยายามทำความเข้าใจ
ถึงแม้จะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ยังคงให้กำลังใจ

คุณหมอ 

คุณหมอ ก็เป็นอีกหนึ่งที่เราน่าจะยังเหลือในชีวิตนี้
4 เดือนเต็มกับความพยายาม ความเอาใจใส่ต่อคนไข้
4 เดือนเต็มกับการพบปะพูดคุยกัน
เราไม่รู้จะอธิบายยังไง 
นอกจากความปรารถนาที่อยากรักษาคนป่วยให้หายตามหน้าที่แพทย์แล้ว
เรายังสัมผัสได้ถึงมิตรภาพจากคุณหมอในฐานะคนๆนึง

คนรัก

นี่คืออีกหนึ่ง ที่เรายังพอจะเหลืออยู่ ณ วันนี้  
นับว่าเรายังโชคดี 


เราไม่รู้ว่าเราจะประคับประคองความสัมพันธ์ไปได้นานแค่ไหน
แต่วันนี้ เค้าก็ยังอยู่ 
มันไม่ง่ายเลย ที่จะอยู่กับคนป่วยโรคซึมเศร้า
แค่เราจะดูแลประคับประคองตัวเองให้หายใจต่อไปในแต่ละวันก็ยากแล้ว
เราไม่อาจดูแลความรัก ความสัมพันธ์ ให้ดีได้เหมือนเดิม 
ทุกอย่างมันดูเปราะบางพร้อมจะแตกเป็นเสี่ยงไปหมด 

อย่างน้อย วันนี้ก็ขอบคุณที่ยังไม่ปล่อยมือ เดินจากไป

ลมหายใจ

เราอาจจะสูญเสียอะไรหลายอย่างไปแล้ว 
และ อาจกำลังจะสูญเสียอีกหลายอย่าง 

แต่อย่างน้อย เราก็ยังเหลือลมหายใจ 
ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ .. เราก็ต้องสู้ต่อไป   

+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  โลก(ไม่)สวย


20 พฤษภาคม 2555

คุณหมอของเรา [7th]


บ่ายโมงจะครึ่งแล้ว ก็ยังไม่ได้พบคุณหมอ
คนไข้นัดเช้าก็หมดแล้ว ท้องเริ่มร้องคร่อกๆ
ได้เห็นภาพแผนกจิตเวช ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
คือ ไม่มีคนเลย


เรารอ..คิดว่าทรมานแล้ว
แต่คุณหมอสิ เราเห็นตรวจมาตั้งแต่เก้าโมงครึ่งยังไม่หยุดเลย
คิดแบบนี้ ก็ลดความเบื่อในการรอลงไปได้บ้าง

จริงๆเราคิดว่า คุณหมอสามารถมองแป๊บเดียว
ว่าเหลือคนไข้กี่คน แล้วบริหารเวลา เร่งให้เสร็จเร็วก็ได้นะ
แต่คุณหมอไม่ทำ อันนี้ทำให้เราประทับใจคุณหมอของเรามาก
คุณหมอคงดูเป็นเคสๆไปมากกว่าว่าควรใช้เวลาขนาดไหน

บ่ายครึ่งแล้ว เราก็หิว คุณหมอก็คงหิวเหมือนกัน
ถ้าซื้อข้าวเข้าไปนั่งคุยกันไปกินข้าวกันไปได้ ก็น่าจะดีนะ - -"

ถึงคิวเราปุ๊บ เราก็นั่งลงแบบเหนื่อยๆ
แล้วพึมพำว่า คุณหมอไม่หิวข้าวเหรอคะ
คุณหมอก็ก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้ม พลางบอกว่า
"ตรวจให้เสร็จก่อนครับค่อยไปกิน"

คุณหมอก็สอบถามอาการทั่วไปหลังจากเพิ่มยา
เราก็เล่าไปงั้นๆ เหนื่อยๆเพลียๆ บอกไม่ถูก
ท้อแท้ และไม่รู้ว่าอีกนานมั๊ยที่มันจะสิ้นสุดเรื่องราวพวกนี้
คุณหมอปรับยาให้
อธิบายว่ายาโรคซึมเศร้าเนี่ยะ มันมีหลายกลุ่ม
ตัวที่เรากินมาร่วม 3 เดือนน่ะ มันคงไม่ค่อยโอเคกับเรา
คุณหมอปรับลดตัวนี้ลง แล้วให้เพิ่มตัวใหม่ขึ้นมา
จากเดิมที่ให้กิน 1 เม็ด ก็เพิ่มเป็น 2 กินไป 7 วัน ให้เพิ่มเป็น 3 เม็ด
เรางงๆ ก็ขอให้อธิบายอีกรอบเพื่อความแน่ใจ
เรื่องกินยามันเรื่องสำคัญ ก็ถามซะให้เข้าใจไปเลย

ครั้งนี้เป็นการพบเจอคุณหมอครั้งที่ 7 แล้ว
เจอกันบ่อยยิ่งกว่าเพื่อนสนิทอีก เราก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
คุณหมอก็สอบถามสารทุกข์สุกดิบไปเรื่อยๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้
เราก็จำไม่ได้ว่าอยู่ๆมาถึงประโยคนี้ได้ยังไง

คุณหมอบอกว่า เรากำลังโกรธ!
อยู่ๆน้ำตารื้นขึ้นมา จนถึงขั้นกลั้นไม่อยู่
ไม่ได้คิดว่า จะมาร้องไห้ต่อหน้าคุณหมอเลย
ไม่ได้คิดจะคุยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ
ครั้งนี้เราร้องไห้หนักมาก ถึงขั้นร้องไห้จนน้ำมูกไหลเลย
เสียจริตจริงๆ - -"

เราเปิดกระเป๋าคว้าผ้าเช็ดหน้า เช็ดน้ำตาน้ำมูกปนกันหมด
คราวนี้มีผ้าเช็ดหน้าเป็นของตัวเองละ
ไม่ได้จงใจเตรียมมา แต่เปลี่ยนกระเป๋า แล้วผ้ามันอยู่ในนั้น
ยังไม่ได้ใช้ ก็เลยไม่เอาออก

เราก็คงกำลังโกรธจริงๆนั่นแหละ
ทั้งที่ดูภายนอก คงไม่มีใครรู้ แม้แต่ตัวเราก็จำกัดความไม่ได้
เราก็พูดไปหลายเรื่องให้คุณหมอฟัง
รวมทั้งปล่อยโฮไปกับความรู้สึกที่ว่า
ไอโรคนี้เนี่ยะ มันจะหายมั๊ย
จริงๆแล้ว เราเป็นคนทำให้มันเกิด หรือ มันเกิดเอง หรืออะไรยังไง
คุณหมอยังคงยืนยันคำพูดเดิมว่า หาย

คุณหมอนัดถี่ขึ้นกว่าทุกครั้งที่มา
เพราะครั้งนี้ นัดอีก 2 สัปดาห์เลย
เราคิดว่า ถ้าไม่เพราะดูผลของยาที่ปรับใหม่
ก็คงเพราะ เราดูแย่ลงกว่าเดิมล่ะมั้ง

แถมคุณหมอยังบอกว่า "พฤหัสหน้าหมอไม่อยู่ มีประชุม"
ถ้ามีอะไร แล้วต้องการมาก่อน ก็มาพบคุณหมอท่านอื่นได้
เราพูดสวนทันทีว่า "คงไม่มาหรอกค่ะ"
เพราะ เรารู้ว่าถึงขั้นนี้ เราอดทนได้
เรื่องผลข้างเคียงของยา เราผ่านมาหมดแล้ว มันชินซะแล้ว

เรานึกขึ้นมาได้ว่ายาตัวใหม่ที่เรากินมันทำให้หน้ามืดอยู่พักนึง
คือ เวลาลุกนั่งยืนเดิน มันจะเหมือนสติดับวูบไป 3-4 วินาที
หน้ามืด ชาไปถึงปลายเท้า เวลาเปลี่ยนอิริยาบทก็เลยต้องระวัง
คุณหมอบอกว่า มันเป็นผลข้างเคียงของยาตัวนี้จริงๆ
แต่เราก็ยืนยันว่า เราชินแล้วแหละ ไม่กี่วันมันก็ดีขึ้น
ถึงตอนนี้ จะต้องเพิ่มยาเป็นสามเท่าตัว ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร

หลังเรา คุณหมอก็ยังมีคนไข้อีกคนนึง
เฮ้ออออ น่าสงสารคุณหมอจริงๆ
ตอนนั้นบ่ายสองกว่าๆไปเท่าไหร่เราก็จำไม่ได้
เรายังไม่ได้กินข้าว ..แค่ใช้พลังงานไปกับการนั่งรอเฉยๆ ก็หิวจะแย่
คุณหมอก็ยังไม่ได้กินข้าว ..แต่ตรวจมาตลอดตั้งแต่เช้า
คงเลยคำว่าหิวไปหลายเท่าตัวแล้วล่ะ



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->   (น่าจะ)ยังเหลือ


ความสวยงามในชีวิต


พฤหัส ที่ 17 พฤษภา 2555 วันนัด

ครั้งนี้พี่ที่เราสนิท ก็มาตรวจตาที่รามาด้วย
ตอนเช้าก็เลยเฮฮาร่าเริงเป็นพิเศษ

พอพี่เค้าเข้าห้องตรวจ เราก็ไปที่จิตเวช ซึ่งไปก่อนเวลานัดถึง 2 ชั่วโมง
วันนี้นอกจากมีนัดกับคุณหมอแล้ว
ยังมีนัดกับน้องที่ได้รู้จักกันจากblogนี้
เราและน้องฟ้าไม่เคยเจอกันมาก่อน ได้แต่คุยกันทางtwitter
ขออนุญาตน้องฟ้าแล้วนะคะ ที่จะเอ่ยชื่อในblogนี้

เดินสวนกับน้องตอนไปวัดความดัน
เราจำได้ทันที เพราะเคยเห็นรูปน้องมาแล้ว แต่ไม่ได้ทัก
กลับมานั่งรอ แล้วก็ทวีตคุยกัน ว่านั่งอยู่ข้างหลังน้องฟ้าแหละ
จนมีที่ว่างเลยมานั่งคุยกันเพลินๆ ฆ่าเวลากันไป เพราะวันนี้รอนานมาก

เรารู้สึกเป็นห่วงน้องฟ้าตั้งแต่คุยกันทางtwitter
รวมทั้งเป็นห่วงน้องๆที่กำลังเรียนอยู่หลายคน
หากรวบรวมสมาธิไม่ได้ อ่านหนังสือแล้วไม่จำ หรือ นอนไม่ค่อยหลับ
คงเป็นอุปสรรคต่อการเรียนมากเลยทีเดียว
ล่าสุดน้องบอกกับเราว่า ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับ

แอบภาวนาให้น้องฟ้าได้ตรวจกับคุณหมอของเรา
จนคุณพยาบาลเรียกชื่อน้องฟ้าไปรอหน้าห้องตรวจ 7
เราโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ
เพราะเราเห็นว่าวันนี้คุณหมอของเราตรวจที่ห้องนี้

เรายังคงนั่งรอไปเรื่อยๆ
คุณพยาบาลก็ยังไม่เรียกให้ไปรอหน้าห้องตรวจซักที
ก็คิดว่า คงเป็นรอบหลังจากเรียกน้องฟ้าไปแล้ว
เพราะหน้าห้องตรวจก็รอกันอยู่หลายคิว

พี่ตรวจตาเสร็จแล้ว ก็มาหาเราที่จิตเวช
คุยกันจนคอแห้ง ก็ยังไม่เรียก
จนใกล้เที่ยง..
คุณพยาบาลก็เรียกให้เราไปนั่งรอหน้าห้องอื่นซึ่งไม่ใช่คุณหมอคนเดิม
เราก็ เอ๊ะ งงๆ แต่ก็ปากหนัก ไม่ได้ถามคุณพยาบาลว่าทำไมถึงเปลี่ยนหมอ
ส่วนน้องฟ้าก็ยังรออยู่หน้าห้องเหมือนเดิม ยังไม่ได้พบคุณหมอซักที

รอจนผ่านไป 3 คิว นานกว่าครึ่งชั่วโมง
พอเข้าห้องตรวจปุ๊บ เอาแล้ว
คุณหมอพลิกแฟ้มไปมา งงๆ
บังเอิญคุณพยาบาลมาเคาะห้องพอดี คุณหมอก็เลยบอก
นี่คนไข้ของคุณหมอXXนี่นา วันนี้คุณหมอXXก็ลงตรวจนะคะ
มือก็ยังพลิกแฟ้มไปพูดไปว่า ตรวจกับคุณหมอXXตลอดนี่นา
แป่ว!!

ในที่สุดเราก็ออกมานั่งรอหน้าห้อง 7 อีกครั้ง
อย่างอ่อนระโหยโรยแรง เพราะมีอีก 3 คิว
ยังไม่รวมน้องฟ้าที่กำลังคุยกับคุณหมอในห้อง
เราเลยเดินไปบอกพี่ว่า ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้
ผิดพลาดทางเทคนิค คงอีกนานทีเดียว

น่าจะไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง น้องฟ้าเดินออกมา
เราถามไปว่า คุณหมอโอเคมั๊ย
น้องพยักหน้ารัวๆ แววตาของน้องฟ้า บอกทั้งหมดโดยไม่ต้องพูดเลย
เรามีความสุขขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ ณ เวลานั้น
สีหน้าของน้องบอกทุกอย่าง
เรารู้และเข้าใจความรู้สึกนั้นดีโดยไม่ต้องอธิบาย
ประโยคที่ว่า "คุณหมอดีมาก"

นี่เป็นหนึ่งในความสวยงามในชีวิตของเราช่วงนี้
เราทำblogนี้ขึ้นมา ไม่ได้นึกว่า จะมาถึงจุดนี้เลย
ได้พูดคุยกับหลายๆคนที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าเหมือนกัน
ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชอื่นๆ รวมทั้งคนที่รู้สึกว่าตัวเองควรพบจิตแพทย์
หรือแม้กระทั่งญาติคนป่วย
ในความป่วยไข้ ก็ยังมีความสวยงามอยู่
ต่างคอยให้กำลังใจกันเสมอ ช่วยกันปลอบใจยามท้อ
หรือแม้แต่ปรึกษากันในเรื่องการรักษา การกินยา เรื่องจิปาถะอื่นๆ

ซักวันจะเขียนเรื่องนี้ ^_^

+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [7th]

16 พฤษภาคม 2555

Deep


ช่วงเวลาราวสิบกว่าวันหลังกลับจากต่างจังหวัด
ซึ่งเรารู้สึกดีมากในช่วงแรกๆ
จนนึกไปถึงขั้นที่ว่า..
ตัวเองกลับมาแล้ว
อีกไม่นานคงได้ลดยา และเลิกกินในที่สุด
(ถึงแม้จะอีกนาน แต่ถ้ามันได้เริ่ม ก็ถือว่าดีมากแล้ว)

เพียงแค่เจอเหตุการณ์อะไรนิดหน่อยที่ทำให้แย่
เราก็ดิ่งตกเหวลงไปเลย
แล้วมันขึ้นไม่ได้จนบัดนี้

เราก็กินยาตามปกติ
จนเมื่อกี้ยาตัวนึงก็หมดพอดี
เพราะคุณหมอจะจ่ายยามาแบบพอดีๆกับวันนัด

พรุ่งนี้คือวันที่คุณหมอนัด
เราบอกความรู้สึกไม่ถูก
มันไม่ใช่อยากไปหรือไม่อยากไป
มันก็เหมือนกินยา
ถึงไม่อยากกิน ก็ต้องกิน

หลายวันก่อน เรารู้สึกว่าอยากให้ถึงวันนัดเร็วๆจัง
แต่พอถึงวันนี้แล้ว
เราก็รู้สึกว่า..แล้วยังไงเหรอ
3 เดือนกว่าแล้วที่เรากินยา ใช่!มันดีขึ้นบ้าง
เวลาเราตกวูบลงไปในเหว
เรายังไต่ขึ้นมาง่ายหน่อย ใช้เวลาน้อยลง
แต่มาถึงวันนี้..
มันกลับแย่กว่าเดิมคือ
ตกเหวไปแล้ว เราไม่หาทางขึ้นอีกแล้ว
เพราะเราเหนื่อย ขึ้นไปแล้วก็ตกลงมาใหม่อยู่ดี

สู้นอนเล่นอยู่ตรงนี้..ก้นเหว
ค่าเท่ากัน?


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ความสวยงามในชีวิต


11 พฤษภาคม 2555

เรี่ยวแรง


จากการที่ไปพบคุณหมอครั้งล่าสุด
และคุณหมอเห็นว่ามันนิ่งเกินไป(มั้ง)
ก็เลยเพิ่มยาให้กินอีกหนึ่งตัว
คุณหมอบอกว่า จะทำให้มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้น

กินยาตัวใหม่เพิ่มได้ราว 5 วัน
เราก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด 3 วัน
เป็น 3 วันที่เรารู้สึกว่า ตัวเองกลับมาแล้ว
เราไม่รู้สึกเวียนหัว จะวูบเลย (ทำไม?)
เราไม่รู้สึกคลื่นไส้เลย (ทำไม?)
เราไม่รู้สึกเหนื่อย เบื่อ เซ็ง เลย..

สิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า มีแค่การกินยาเท่านั้น
นอกนั้นเราไม่รู้สึกอะไรเลย




นิสัยเรา เวลาไปเที่ยว จะลืมเหนื่อย
ใช้เวลาคุ้มมาก นอนดึกตื่นเช้ามืด
คึกมาก หลังจากเที่ยวจะสลบไปหนึ่งวันเลย(เป็นประจำ)


ครั้งนี้เราก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
นี่ถ้าคนไม่เคยไปเที่ยวกับเรามาก่อน
แล้วรู้ว่าเป็นโรคซึมเศร้า อาจคิดว่าเราเป็น Bipolar Disorder รึปล่าว

ยิ่งได้ไปในป่าในเขาเนี่ยะ
มีความสุขมาก นั่งดูน้ำ ดูฟ้า ดูต้นไม้
ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ




กลับมาเรารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าแล้ว
รู้สึกเหมือนตัวเรากลับมา
แอบดีใจมาก

แต่ชีวิตมันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ 
^_^


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  Deep