21 พฤศจิกายน 2555

คุณหมอของเรา [15th]


กินยามาได้ซักพักนึง ก็เหลือบมองยาในซอง ทำไมมันเหลือน้อยแปลกๆ
หยิบบัตรนัดมาดู ปรากฎว่ายาจะหมดก่อนวันนัดตั้งหลายวัน
เลยโทรเข้าไปที่แผนก คุณพยาบาลก็นัดใหม่ให้เป็น

จันทร์ ที่ 12 พฤศจิกายน 2555

ถึงโรงพยาบาลแต่เช้า พร้อมกับทำใจว่าคงต้องรอนานมากอีกแล้ว
เพราะเปลี่ยนวันนัดแบบนี้
รีบขึ้นไปยื่นบัตร ชั่งน้ำหนักให้เรียบร้อย แล้วลงมาหาอะไรกิน
กะว่าจะขึ้นไปเก้าโมงตรง เพราะปกติ คุณหมอจะมา 9.30 น.
แต่ก็เดินไปเดินมาจนเบื่อตึกใหม่แล้ว ไม่มีอะไรตื่นตาตื่นใจอีก
เลยขึ้นไป ปรากฎเห็นคุณหมอมาแล้ว โอ้ว พระเจ้าจอร์จ งงมาก
แถมยังไม่ทันนั่ง คุณพยาบาลก็เรียก

วิ่งตามหลังคุณหมอเข้าห้องไปตั้งแต่ยังไม่เก้าโมงเช้า
ก็เท่ากับกินยาใหม่มาประมาณ 11 วัน
รายงานผลให้คุณหมอฟัง เรื่องอาเจียน กินอะไรไม่ลง
แต่สบายๆ ชินแล้ว และมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ หนักแค่ช่วงแรกๆ
แถมไม่มีอาการอื่นเลย ไม่เหมือนกับกินยาก่อนหน้านี้
ที่จัดเต็มทุกระบบในร่างกาย

คุณหมอถามเรื่องการนอน บอกว่าการนอนเป็นเรื่องสำคัญ
เป็นตัวชี้วัดอย่างนึง ว่ายาได้ผลหรือไม่ได้ผล
เราก็บอกว่า นอนดีขึ้นนะ เพราะเรามีปัญหาเรื่องนอนมาก
ขนาดเหนื่อยมากๆ หรือ น็อครอบแล้ว ยังนอนไม่หลับ
เหมือนคนหลับไม่เป็นยังไงยังงั้น ก็บอกคุณหมอไป
หลังกินยาได้ซักพัก การนอนดีขึ้น มีอาการง่วงแบบชาวบ้านเค้า
ก่อนหน้านี้ จะหลับก็เพราะร่างกายไม่ไหว น็อคไปเอง
แต่..เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับยาตัวใหม่ทั้งหมดรึเปล่า
เราไม่ได้กินยาตัวอื่นช่วยให้หลับ แต่ว่ากลับจากโรงพยาบาลคราวที่แล้ว
ก็เป็นหวัดด้วย เป็นหวัดแบบงอมเลย นอนได้เพราะป่วยรึปล่าวก็ไม่รู้

แล้วก็บอกคุณหมอเรื่องความคิดฆ่าตัวตายที่เข้ามาบ่อยๆ
ที่บอกคุณหมอเพราะคิดว่า มันควรต้องบอก
มันมีความคิดแว๊บเข้ามาบ่อยมากเกินไป แต่เรารู้ตัว
คุณหมอบอกว่า ยาตัวนี้อาจส่งผลทำให้มีความรู้สึกอยากตายได้

คุณหมอขอปรึกษาว่า จะใช้ยาตัวนี้ต่อไปรึเปล่า
อธิบายการทำงานของยา แล้วก็คุยเรื่องบัญชียาหลักอะไรพวกนี้
เราไม่ได้มีความคิดจะหยุดยาอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะมีผลข้างเคียง อย่างอาเจียนอะไรแบบนั้น
มันเล็กน้อยเกินไปสำหรับเราที่เคยเจอมาเยอะกว่านี้
ส่วนเรื่องอยากตาย เราก็รู้ตัวเองว่า โอเค มีความคิดแว๊บเข้ามานะ
ก็ต้องรีบสลัดออกโดยเร็ว อย่างที่เคยทำ ตอนนั้นแว๊บขึ้นมา
เราเดินออกไปกลางแจ้งเลย ไปโดนแดด เดินไปซื้อของอะไรก็ว่ากันไป
มันไม่น่ามีปัญหาอะไรมากมาย

(ซึ่งมันน่ากลัวจริงๆ ถ้าอยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ปกติ มันจะแย่คูณสองคูณสาม
และเราก็เจอมาแล้ว แค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกลับจากโรงพยาบาล
เราได้เจอเรื่องที่แย่มากที่สุดในชีวิตซ้ำเติมลงมา
แต่โอเค เรายังไม่ตาย ยังมา up blogได้)

ครั้งนี้คุณหมอคุยเรื่องยาเยอะ แล้วก็มาถามเราว่า
เรารู้สึกไม่พอใจคุณหมอรึปล่าว ที่มาคุยกันเรื่องนี้
แทนที่จะได้เล่าปัญหาอะไรให้ฟัง เราร้อง หือ!!
เราบอกคุณหมอไปว่า ไม่เลย แล้วเรามาหาหมอเนี่ยะ
ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่เราตั้งใจจะมาเล่าอะไรให้ฟัง
ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เราเล่าให้คุณหมอฟังเนี่ยะ
เราไม่เคยตั้งใจมาเล่าเลยนะ มันเกิดจากการคุยกัน
แล้วมันก็ไหลไป อะไรที่เห็นว่าจำเป็นเราก็เล่า
โดยเฉพาะที่มันส่งผลต่ออารมณ์
ไม่ได้คิดว่าจะเอาคุณหมอมาเป็นที่พึ่งอะไรแบบนี้

(แต่เริ่มคิดหลังจากนี้แล้วนะคะคุณหมอ
ตอนที่เจอเรื่องแย่มากๆ หน้าคุณหมอลอยมาเลย -"- )

คุณหมอถามว่าโกรธคุณหมอรึปล่าวที่รักษาแล้วไม่หายซักที
มีความคิดอยากเปลี่ยนหมอมั้ย -"-

เอ่อ หมอนะคะ ไม่ใช่เทวดาจะได้เสกนะ
เราไม่ได้คิดอะไรเลย ก็บอกคุณหมอไปตามตรง
มันมีปัจจัยมากมาย อย่างยามันยังไม่โอเคกับเรา
มันต้องใช้เวลา เราก็เข้าใจ จะใช้ยาเปลี่ยนยาแต่ละครั้งไม่ได้ง่ายๆ
การวัดผลก็ไม่ได้เดินไป X-Ray หรืออัลตราซาวน์จะได้เห็นนี่นา
แถมยังมีอะไรอีกมากมายทั้งที่ควบคุมได้และนอกเหนือการควบคุม

ก็ไปด้วยกันนี่แหละค่ะ หายก็หาย ไม่หายก็พยุงไป
เราไว้ใจคุณหมอ และก็ไว้ใจตัวเอง
ถึงได้เลือกเดินเข้ามารักษานะคะ




+ + + + + + + + +

สำหรับคนที่เพิ่งมาอ่าน
PostแรกของBlogนี้  ---> ก้าวแรก