31 มีนาคม 2555

คุณหมอของเรา [3rd]


พฤหัส ที่ 1 มีนาคม 2555 วันหมอนัดค่ะ

กว่าจะไปถึง ลงรถกันกลางถนน ต่อพี่วินซิ่งไปรามาฯกันเลย
อยู่ๆวันนั้นรถติดผิดปกติ ทั้งๆที่ตื่นตั้งแต่ตี5  - -"
แล้วของเรานัดเป็นคิวแรกด้วย หน้าซีดเหลือ 2 นิ้วอีกละ

เข้าห้องตรวจห้องนี้ จะผิดกับสองครั้งก่อน
(มีผลต่อความรู้สึกเหมือนกันนะคะ)
ก่อนหน้านี้ จะนั่งตรงข้ามคุณหมอ
แต่ห้องนี้ เค้าเอาหน้ากว้างของโต๊ะติดกำแพง
ก็เลยไม่ได้นั่งตรงข้ามกับคุณหมอ แต่นั่งเป็นรูปตัวแอล L
รู้สึกเกร็งๆนิดนึง เพราะนั่งใกล้คุณหมอมาก
แต่ก็รู้สึกสนิทขึ้น เหมือนเป็นเพื่อน

กลายเป็นว่าตอนนี้คนสนิทมากของเรา มี 3 คน
คือ แฟนเรา เพื่อนรุ่นพี่ และ คุณหมอของเรา

คุณหมอถามอาการทั่วไป เช่น เวลานอน เวลาตื่น
แล้วก็ถามประมาณว่า มันมีกระตือรือร้นแบบเว่อร์บ้างมั๊ย
" นั่นแน่ >_< เช็คว่าเป็น Bipolar Disorder ชิมิ "
อันนี้แอบคิดนะคะ

เราก็อธิบายไปว่า เวลามันดี มันจะเรื่อยๆ ไม่ได้พุ่ง
แต่เวลามันตก มันจะดิ่งวูบไปเลย กว่าจะขึ้นมันยากมาก
ก็ทำมืออธิบายไปด้วย เหมือนกราฟหุ้นเลย

เราเริ่มเล่าเรื่องขว้างของ เพราะตลอดมาเราไม่ได้เล่า
จริงๆแล้วเราเพิ่งนึกออกด้วยซ้ำ หลังจากรักษานี่แหละ
ว่าทำไมอยู่ๆ เราถึงกลายเป็นคนขว้างของไปได้
เริ่มจากปีที่แล้วเลย สังเวยไปก็มี ถ้วยกาแฟ มือถือ เม้าส์
แล้วก็หยิบของมาฟาดแฟนเรา แต่เป็นของเบาๆ อย่างผ้าห่มอะไรแบบนี้

คุณหมอฟังแล้วนิ่งนะ ถามเราว่า เรากลัวอะไรเหรอ
กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หยิบของที่ทำอันตรายคนอื่นเหรอ
เราก็นิ่งซักพัก แล้วบอกว่า ส่วนนึงก็น่าจะใช่ เพราะเราหยิบของใกล้มือทันที
แบบไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่ามันคืออะไร
อย่างผ้าห่มที่ว่า เพราะมันอยู่ในตะกร้าผ้าจะซัก ซึ่งเรายืนตรงนั้นพอดี
เราก็คว้าปุ๊บเลย ซึ่งเคยมีก่อนหน้านี้ เราเคยคว้าอย่างอื่นเหมือนกันที่อยู่ใกล้มือ
คุณหมอพูดอะไรต่อ เราจำไม่ค่อยได้  รู้แต่คุณหมอไม่ได้อะไรกับเรื่องนี้นัก
กลับทำให้เราสบายใจที่ไม่มีคำแนะนำนะ
จำได้แต่มีประโยคนึงคุณหมอพูดว่า " คงเก็บไว้เยอะนะครับ "
อืม จริงเลยนะ

แล้วเราก็เล่าต่อเรื่องที่แฟนเรามานั่งฟังเราพูด
ที่เคยเล่าไปแล้วในโพสต์ ขยะใต้พรม
คุณหมอตั้งใจฟังมาก มองตา พยักหน้าบ้าง และยิ้มเล็กๆไปด้วย
เราก็บอกว่า มันแปลกมากเลย เราลืมบางเรื่องไปหมดแล้ว
ให้มานึกวันนี้เราคงนึกไม่ออกหลายเรื่องว่าพูดอะไรไปบ้าง
ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่สะสมมานานปี ไม่น่าจะลืมกันง่ายๆ

คุณหมอบอกเราว่า

จริงๆเราไม่ได้ติดใจใน "เรื่องราว" ที่เกิดขึ้น 
ที่ยังติดคือ "ความรู้สึก"
ถ้าจัดการ "ความรู้สึก" ได้ 
"เรื่องราว" ก็หายไปเอง 

เรานั่งอึ้งไปหลายวินาที ตะลึงงัน
นี่คือบทสรุปที่ถูกต้องที่สุดที่เราเป็น แต่เราพูดออกมาแบบนี้ไม่ได้
เราให้อภัยคนไม่ยากนะ แต่ที่มันยังติดอะไรบางอย่างอยู่
ทำให้ค้างคาใจมากมายถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ให้อภัยไปแล้ว

คุณหมอบอกว่า เราต้องการคนที่รับฟังเราจริงๆ
ฟังแบบพยายามทำความเข้าใจความรู้สึก
ไม่ใช่แค่ฟังผ่านๆ ได้ยินเสียง
(ประมาณนั้นนะคะ จำไม่หมด)

แล้วคุณหมอบอกว่า
เราเป็นคนประเภทความรู้สึกเยอะ ความรู้สึกนำ ..
งั้นก็ให้จัดการอะไรๆไปตามความรู้สึกน่ะดีแล้ว บางครั้งไม่ต้องไปหาเหตุผล
(ประมาณนี้แหละ) เรานั่งอึ้งอีกรอบ - -"
แล้วคุณหมอก็อธิบายเรื่องประเภทคนอย่างที่คุณหมอบอกเราเนี่ยะแหละ
แต่เราจำไม่ได้หรอก มันอึ้งๆอยู่

คุณหมอกลายมาเป็นกระจกเงาที่สะท้อนความเป็นเราออกมา
เราเป็นแบบที่คุณหมอบอกจริงๆ ..

แล้วเราก็คุยกันต่อ เกี่ยวกับการใช้คำพูดกับคน
เป็นการพูดเรื่องเดียวกัน โดยใช้คำพูดคนละแบบ
ซึ่งคุณหมอสมมติตัวเอง แล้วพูดกับเรา
ให้ตายเหอะ..คุณหมอไปเรียนแอคติ้งกับหม่อมน้อยมารึเปล่า
เข้าถึงจิตวิญญาณมาก เหมือนเป็นคนๆนั้นจริงๆ

ตอนที่คุณหมอ อยู่ในสถานการณ์แรก
เราอึดอัด อยากเฟดหนีเลย ถึงขนาดนั่งเอาเล็บจิกมือตัวเอง
และอยากให้คุณหมอหยุดพูดซะที
แต่พอในสถานการณ์ที่สอง
เรารู้สึกสงสารคุณหมอจับใจ รู้สึกมาจากข้างในเลย

แอบกลัวๆคุณหมอนิดนึงนะเนี่ยะ ก็คุณหมออินกับบทบาทมากเลย >_<

แล้วก็คุยเรื่องทั่วๆไปนิดหน่อย คุณหมอก็เขียนใบสั่งยา
และกำหนดวันนัด ซึ่งครั้งนี้ 4 สัปดาห์เลยทีเดียว
วันนั้นคือ 1 มีนา นัดอีกครั้งคือ 29 มีนา

เราไปยื่นใบสั่งยาที่คุณหมอเขียนวันนัดให้คุณพยาบาล
ตรงที่ระบุว่า ออกใบนัด
รออยู่ซักพัก คุณหมอเดินมาหา แล้วบอกว่า
หมอลืมบอกไปว่า หมอปรับยา คราวนี้ให้กินครั้งละ 2 เม็ด  O_o
เราเลยถามหมอกลับไปว่า จริงๆแล้วเราควรกินยากี่โมงดี
คือ ในนั้นระบุให้กินก่อนนอน
คุณหมอถามกลับว่า กินแล้วง่วงมั๊ย
เราตอบว่าไม่ง่วงเลย คุณหมอบอกว่า "งั้นกินช่วงเย็นๆก็ได้ครับ"

เรารับบัตรนัดครั้งต่อไป แล้วลงไปห้องจ่ายยาด้านล่าง
ยื่นใบสั่งยา รอเรียกคิวให้ไปจ่ายเงิน และรับยา

คราวนี้ช็อค(เล็กๆ)อีกรอบ

ต่อโพสต์ต่อไปนะคะ
>_<


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  มาเป็นกล่องเลย