29 มีนาคม 2555

ขยะใต้พรม

ตั้งแต่ป่วย เราเก็บคำพูดไม่ค่อยได้
อย่างเมื่อก่อน มีอะไรที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง
ก็จะเลี่ยงๆไม่พูด เก็บ กลืน มันลงไป
เหมือนว่าไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้ว คือ ซุกขยะไว้ใต้พรม
มันไม่ได้หายไปไหน ซ่อนไว้
แต่ตอนนี้ ถ้าเจออะไร เราสวนกลับไวมาก
เป็นอารมณ์แบบไม่ทนอะไรอีกแล้ว

มิหนำซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ซักพักใหญ่ คือ การขว้างของ
(อันนี้เราเล่าให้คุณหมอฟังในการไปพบครั้งที่ 3)

ต้องขอเกริ่นก่อนว่า
เมื่อก่อน เราไม่ชอบคนที่โมโหแล้วขว้างของ ทำลายของเลย
และไม่เข้าใจด้วยว่า ทำไปทำไม เสียดายของ
กว่าจะทำงานหาเงินซื้อมาได้ แล้วไปทำลายมันทำไม

แต่พอถึงจุดนี้ เรารู้เลยว่า มันไม่ไหวแล้วจริงๆ
เหมือนลูกโป่งที่อัดลมเข้าไปแน่นจนระเบิด
อาการนี้ เริ่มมาราวปีที่แล้ว (2554)
ที่น่ากลัวคือ อะไรอยู่ใกล้มือ เราคว้าได้ทันที
เราขว้างถ้วยกาแฟแตกละเอียดมากับมือ
ไม่พอ ถ้าทะเลาะกับแฟน เราเคยหยิบของใกล้มือมาฟาดได้ทันที
ด้วยความกดดันลึกๆที่ไม่เคยเคลีย
เป็นความรู้สึกเจือปนอะไรหลายๆอย่าง
เหมือน แค้น โกรธ เสียใจ ปะปนกันไป

เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เราอยากเล่า
เรากับแฟน กว่าจะมาถึงวันนี้ เรื่องราวไม่ได้สวยงามนัก
แต่ก็ฝ่าฟันอุปสรรคจนมาถึงวันนี้ได้

เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาหลายอย่าง
มันยังติดอยู่ในใจเรา มันไม่เคยถูกเคลีย
เราก็บอกไม่ถูกว่าจะเคลียยังไง
เพราะถ้าเอ่ยปากขึ้นมา ก็จะทะเลาะกัน ก็เลยเลือกที่จะไม่พูด
แต่กลายเป็นว่าเรื่องมันไม่หายไป มันยังอยู่ในในลึกๆ
และยิ่งประจวบกับเหตุการณ์ แม่ของแฟนเรา เป็นมะเร็ง
ตรวจพบในระยะสุดท้ายแล้ว ซึ่งนับถอยหลังอย่างเดียว
สถานการณ์ตอนนั้น มันเป็นอะไรที่ลำบากมาก
ใครเคยมีญาติเป็นมะเร็งคงพอเข้าใจ

แต่ละวันที่ผ่านไปมันยาก กดดัน และเครียดมาก
ถ้าเราทะเลาะกับแฟนช่วงนี้ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนคบกัน)
เราก็จะต้องยิ่งเก็บๆๆๆ เพราะต้องคิดอยู่เสมอว่าคนกำลังจะเสียแม่ไป

ที่เราคุ้นเคยกับรพ.รามาฯ เพราะแม่ของแฟนเราไปรักษาที่นี่
รวมทั้งสถาบันมะเร็งที่อยู่ติดกันด้วย
ระยะเวลา 10 เดือน ที่ทุกคนอยู่ในความเครียด
มันหนักหนาสาหัสมาก ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายเลยทีเดียว
แล้วแม่ของแฟนเราก็เสียไปกลางปีที่แล้ว (2554)

เหตุการณ์ที่คุ้ยขยะที่ซุกไว้ใต้พรมมันเกิดขึ้น
ไม่กี่วันหลังจากที่เราไปพบหมอครั้งที่ 2
เรื่องที่ทะเลาะขอไม่เล่า
แต่ ณ เวลานั้น เราคว้าอะไรได้ใกล้มือ เราคว้าทันที..
โชคดีที่มันเป็นผ้าห่มแบบผืนเล็กๆ
เราเอาผ้าฟาดใส่แฟนเรา ด้วยความอัดอั้น
ผ้ากวาดเอาข้าวของกระจุยกระจาย
เราพูดเรื่องต่างๆมากมาย ว่าแฟนเรา ในเรื่องที่ผ่านมา
ว่าไม่เคยฟังเราพูดเลย ไม่เคยสนใจว่าเราจะรู้สึกยังไง
พอเราพูด ก็หาว่าอย่างงั้นอย่างงี้ แถมมาว่าเรากลับอีก
ทั้งที่เราเป็นผู้ถูกกระทำ
เราระเบิดออกมา ร้องไห้ไปด้วย

คราวนี้แฟนเราใจเย็นขึ้นมาก ซึ่งปกติเค้าจะใจร้อนสุดๆ
อาจจะเพราะเห็นว่าเราป่วย
เห็นเราฝัน ละเมอ ทุรนทุรายกลางวันแสกๆกับตาตัวเอง

เราไปนั่งซุกตัวอยู่มุมนึง
เค้าเข้ามาจับมือ แล้วบอกว่า..
เอางี้นะ ให้เราพูดมาให้หมด จะด่าจะว่า
จะพูดเรื่องอะไร รู้สึกยังไง เค้าจะฟัง ไม่เถียง ไม่ย้อน ไม่แก้ตัวอะไร
จะฟังเราพูดจนจบ..
เราร้องไห้แล้วบอกว่า พูดถึงพรุ่งนี้ก็ไม่รู้จะหมดรึปล่าว
เค้าบอก ไม่เป็นไร พูดมาให้หมด

เราพูดไปร้องไห้ไป เป็นสิบๆเรื่อง
บอกเล่าแต่ละเหตุการณ์ว่าเราทุกข์ทรมานขนาดไหน
บางช่วงแค้นขนาดไหน เจ็บปวดยังไง
หรือเรื่องที่เค้าคิดว่าเราไม่รู้มากมาย
แต่เรารู้เราเห็น รู้มั๊ยว่ามันเป็นยังไง
เราพูดๆๆ พูดไป นานเท่าไหร่ เราจำไม่ได้
พูดจนเหนื่อย แทบไม่มีแรงพูดต่อไปอีก

ต่างคนต่างเงียบ
เราเหนื่อย แฟนเราขยับไปนั่งพิงฝาท่าทางหมดแรงเช่นกัน

แล้วแฟนเราก็ถามเราว่า เค้าทำอะไรดีๆให้เราบ้าง
เราเหนื่อยมาก ก็ตอบไปไม่กี่ประโยค
บอกว่า เค้าก็ดูแลเราตอนเราไม่สบาย ซื้อข้าวมาให้เรากิน - -'
แฟนเราถามว่า แค่นี้เองเหรอ
เราเหนื่อยมาก จนไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีก

แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านไป...................
แปลกมาก ที่เรารู้สึกโล่ง เหมือนไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไปในเรื่องที่พูดไป
จริงๆแล้ว เรื่องไหนที่เป็นความผิด เราอภัยให้ไปนานแล้ว
แต่มันยังมีอะไรติดค้าง ตรงที่เราไม่เคยได้พูด
เพราะพูดไปก็มีแต่จะทะเลาะกัน แฟนเราก็จะพูดให้ดูปัจจุบัน
ทำให้เราไม่ได้พูดอะไรเลย ว่าเรารู้สึกยังไง

เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า
บางครั้งการขอโทษ แล้วปล่อยให้มันผ่านไป
ไม่ต้องพูดถึงมัน ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
การเผชิญหน้ากับมันต่างหาก มันถึงจะจบได้จริงๆ
แน่นอน ไม่มีใครอยากฟังความผิดของตัวเอง
อยากจะแก้ไข ด้วยการทำปัจจุบันให้ดีขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ
แต่ต้องช่วยบรรเทาความรู้สึกของอีกคนด้วย

หลังเหตุการณ์นี้ เหลือเชื่อมาก
เรื่องบางเรื่องเราลืมไปเลย
ทั้งเรื่องที่ติดค้างอยู่หลายปี เรื่องที่จำฝังใจ
เรื่องที่เคยเจ็บปวดแสนสาหัสขนาดไหน
บางเรื่องรู้สึกเหมือนมันไม่ได้เกิดขึ้น
บางเรื่องก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีก แม้จะจำมันได้

เราเล่าเรื่องนี้ให้คุณหมอของเราฟังในการพบกันครั้งที่3
คุณหมอวิเคราะห์ออกมาได้จับใจและตรงใจเรามาก

เอาไว้อ่านต่อ ในโพสที่เราไปพบคุณหมอครั้งหน้านะคะ


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ฝึกสมาธิ(ไม่ได้)