03 เมษายน 2555

แผลเปิด


เราไม่คิดว่า แผลเก่าในอดีตที่ดูเหมือนเราจะลืมไปแล้ว
และไม่คิดว่าจะส่งผลต่อชีวิตปัจจุบัน มันถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะอะไรก็ไม่รู้ เพราะยา? เพราะโรค? หรือ ขั้นตอนการรักษา?
ตั้งแต่รักษา แผลนั้นแผลนี้ก็เปิดเรื่อย
ที่คิดว่าลืมไปแล้ว ก็กลับมาคิดวนเวียน ที่กดเอาไว้ ก็โผล่ขึ้นมา

เราเริ่มนอนไม่หลับอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ธรรมดา เพราะไม่ใช่แค่ไม่หลับ
แต่อยู่ๆเรื่องราวชีวิตตั้งแต่อายุ14ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
ทำให้เราคิดวนเวียน ภาพเก่าๆมันกลับมาทั้งหมดได้ยังไง

ทุกๆคืนเราจะพูด(แต่ไม่ออกเสียง) ก็เหมือนคิดนั่นแหละ
แต่เป็นการพูดกับคุณหมอของเรา
เหมือนเราเล่าเรื่องทั่วไปให้คุณหมอฟังทุกครั้ง
เราพูดแบบนั้นทุกคืน จนเหนื่อย ฟุ้งไปหมด
กว่าจะหลับลงได้ แต่ละคืน ทรมานมาก

น่าจะเป็นจากที่เราเล่าโพสต์ที่แล้วว่า
พ่อกับแม่จะมา ในอีกไม่กี่วัน
พ่อกับแม่เราอยู่ต่างจังหวัด เกษียณราชการแล้ว
ไปทำสวนตามประสาที่เค้าอยากทำ
และจะต้องมาตรวจเช็คที่คลินิคตารพ.รามาฯทุก 6 เดือน

ด้วยความที่ลูกๆ อยู่กรุงเทพฯกันทุกคน
เราในฐานะพี่คนโต ก็มักจะหาโอกาสจัดทริปเที่ยวทั้งครอบครัว
วางแผนที่กินที่เที่ยวเสมอๆ
รวมทั้งจัดแจงเรื่องไปหาหมอที่โรงพยาบาล

แต่ในสภาพแบบนี้ เราไม่ไหวจริงๆ เราไม่อยากเจอพ่อแม่
และเค้าก็ไม่รู้ว่าเราเป็นซึมเศร้าอะไรนี่หรอก
เราบอกเค้าว่าไม่สบาย เป็นไทรอยด์
ให้น้องสาวเป็นคนจัดการเกือบทั้งหมด ซึ่งมันผิดปกติวิสัย
เพราะเราไม่ค่อยอยากเจออยากคุยกับพ่อแม่เท่าไหร่

พี่ที่เราสนิทด้วย เอ่ยปากถามเราถึง 2-3 ครั้ง
ว่าเรามีปัญหาอะไรลึกๆกับทางบ้านรึเปล่า
พี่เค้าสังเกตว่าเราทรุดมาก
เราบอกว่า ตอนนี้เราหลับไม่ลงเลย เหมือนพูดจนเหนื่อยทุกคืน
เรื่องเก่าๆก็โผล่มาหมด

วันนั้นเราเลยเล่าบนรถระหว่างทางกลับจากต่างจังหวัด
บนรถ มีแฟนเราเป็นคนขับ และเพื่อนรุ่นพี่เราก็นั่งมาด้วย
เราตัดสินใจเล่า เรื่องที่แม้แต่แฟนเรา เราก็ไม่เคยเล่า
เพราะก่อนหน้านี้ มันไม่โผล่มาแบบนี้จนรบกวนเรา

เราเล่าไปร้องไห้ไป ว่าตอนอายุ 14 แม่เราป่วยหนัก
รักษาตัวอยู่เป็นปี แล้วน้องทั้งสองยังเล็กมากๆ
เลยต้องมีคนช่วยดูแล ซึ่งก็แนวๆพี่เลี้ยงนั่นแหละ
การเข้ามาของพี่เลี้ยงคนนี้ ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เค้ามาอยู่ที่บ้านเรานานมาก มากเกินไป น่าจะราว 3 ปีเลย
ทั้งที่แม่เราหายป่วยแล้ว
มิหนำซ้ำ ยังลากญาติพี่น้องเค้า เข้ามาวุ่นวาย

ตอนนั้นเราไม่อยากกลับบ้านเลย
เราจะกลับให้ช้าที่สุด โดยเรียนพิเศษทุกวัน
เสาร์อาทิตย์ก็เรียน เรียนเสร็จก็เดินไปเรื่อยๆคนเดียว
ไม่อยากกลับบ้าน ส่วนใหญ่จะสิงตามร้านขายหนังสือ
เราไม่รู้จะเอาตัวไปไว้ตรงไหนในบ้าน มันไม่มีพื้นที่สำหรับเราเลย
บางวันเราเดินไปเรื่อยๆเป็นสิบกิโล เข้าห้างนู้นออกห้างนี้
เพราะไม่อยากกลับบ้าน
ทั้งๆที่ ถ้าใครมองเข้ามา บ้านเราอบอุ่นมาก
ฐานะปานกลาง พ่อมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี

เราเล่าให้พี่ที่เราสนิทฟังไป ร้องไห้ไป
พี่เค้าก็คอยถามไป ส่วนแฟนเรานั่งฟังนิ่งสนิทเลย
เราคงเล่าตรงนี้ไม่หมด ว่าเรื่องแค่นี้มันสร้างปัญหาอะไร

ลองจินตนาการว่าเด็กวัยรุ่นคนนึง ไม่อยากกลับบ้าน
ยังดีที่ชอบอ่านหนังสือ หนังสือยังฉุดรั้งชีวิตให้เดินต่อไปได้
เราไม่รู้ตัวเองว่ามันเป็นบาดแผลด้วยซ้ำ
พอเราป่วย เรื่องนี้มันก็ผุดขึ้นมามากมาย
เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกอีกแล้ว

แต่เรื่องนี้เราจะแก้ยังไงเหรอ
เหมือนที่ทำกับแฟนเรา คือ พูดๆๆๆๆ บอกไปว่ารู้สึกยังไงน่ะเหรอ
ไม่มีทางที่จะทำได้หรอก
เพราะถ้าเราพูดกับพ่อแม่ พ่อแม่ต้องร้องไห้แน่ๆ
แล้วเราจะเป็นยังไง ที่ต้องทำให้พ่อแม่ร้องไห้

อาการเราหนักขึ้นเรื่อยๆภายในไม่กี่วัน
วันที่เราเล่าเรื่องนี้บนรถ เรานอนแค่ชั่วโมงเดียว
แถมไปทำธุระที่ต่างจังหวัด เหนื่อยมาก
กลับมา นึกว่าจะเพลียหลับ แต่ก็ไม่
ยังนอนไม่หลับอีก กว่าจะหลับก็ตี2ตี3

เราเริ่มคิดเรื่อง ไปพบคุณหมอก่อนวันนัด
เพื่อขอยานอนหลับ..


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ไปรพ.ก่อนวันนัด