03 เมษายน 2555

ดีใจ..ได้แป๊บเดียว


วันพฤหัสที่ไปโรงพยาบาลตามนัด
วันนั้นก็เริ่มกินยาสองเม็ดตามคุณหมอสั่ง
ในใจก็หวั่นๆพอสมควร
คือ กว่าจะปรับตัวกับยาได้ เรียกว่าปางตายเลย
แล้วนี่ ต้องกินคูณสองเลยเหรอ แต่ก็ต้องกินอยู่ดี

เราไม่เคยมีวินัยในการกินยาขนาดนี้มาก่อนเลย
เวลาไม่สบาย ก็มีกินบ้างลืมบ้าง
ตอนเด็กๆก็มีแอบทิ้งยาด้วยตามประสา
แต่ตอนนี้ อะไรหลายอย่างมันยากเกินความเข้าใจของเรา
มันไม่ใช่ ปวดท้อง เป็นไข้ เจ็บคอ ที่อธิบายนิดหน่อยก็พอจะเข้าใจ
ว่าเป็นอะไร รักษายังไง ..

แต่เรื่องสารเคมีในสมอง มันเกินความเข้าใจของเรา
ตอนนี้เราก็ยังไม่พร้อมจะศึกษาเรื่องนี้ด้วย
เรารู้เพียงว่า..เรารักสมองของเรา
เรามั่นใจว่าเรามีสมองพอใช้ได้นะ
ยังสามารถใช้สมองทำประโยชน์ให้กับตัวเองและสังคมได้อีกเยอะ
เราจะไม่ยอมเสียมันไปถึงจุดที่รักษาไม่ได้
วันนี้เราต้องดูแลสมองของเรา

เรากินยาที่คุณหมอสั่งเพิ่มปริมาณ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
ก็จะมีอาการเดิมๆอยู่บ้าง เช่น คลื่นไส้ และ กัดฟัน
ยังอยู่ในวิสัยที่พอทน

ปรึกษาทันตแพทย์เรื่องกัดฟัน คุณหมอ @DrWuttibong
ทางtwitter คุณหมอใจดีมาก ตอบกลับมาว่า
สามารถไปปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางบดเคี้ยวได้
ทันตแพทย์จะตรวจและให้การรักษา โดยอาจจะให้ใส่เฝือกสบฟัน
คล้ายๆฟันยางของนักมวย แต่เป็นพลาสติกแข็ง
อาจจะช่วยลดการเกร็งลงได้
เราเก็บข้อมูลไว้ เผื่อไม่ไหวจริงๆ แต่มันก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ยังกัดฟัน แต่ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ เลยไม่ได้ไปตรวจ

กินยาเดิมไปได้ 2-3 วัน
ราวๆวันอาทิตย์นะคะ ถ้าจำไม่ผิด
ปกติจะมีบันทึกสั้นๆไว้ แต่ช่วงนี้บันทึกขาดหาย
เราจำได้ว่า ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
คือ อยู่ๆความเพลียที่ติดแน่นอยู่หลายสัปดาห์มันหายไป
ไม่ถึงกับรื่นเริง แต่สดชื่นขึ้นมาก
เหมือนเงาดำทะมึนที่ครอบงำอยู่ มันไปไหนไม่รู้

เรามั่นใจในวินาทีนั้นว่า ..ถ้าคนสมัยก่อนป่วยแบบนี้
อาจนึกว่าวิญญาณร้ายเข้าสิงอะไรแบบนั้นก็เป็นได้นะ
เพราะมันรู้สึก เบา โล่ง สดชื่น แจ่มใส

เราแอบดีใจอยู่ 2-3 วัน แล้วก็ทรุดอีกครั้ง
วันนั้นเป็นวันมาฆบูชา (7 มีนา)
แฟนเราถามว่าอยากไปเที่ยวไหนมั๊ย เราไม่อยากไป
เค้าก็เลยจะเอารถไปตรวจเช็คทำนู่นทำนี่
แล้วนัดเราว่า จะมารับออกไปหาอะไรกินตอนเย็น
วันนั้นเรารู้สึกเพลียมากๆ
นอนหลับไปตั้งแต่สายๆ โดยไม่รู้สึกตัวตื่นเลย
จนถึงเย็นที่แฟนเรามาเคาะประตูเรียก เราก็ยังงงๆ
ตอนนั้นราวหกโมงเย็นแล้ว
นอนนานเหมือนไม่อยากตื่น ไม่อยากรับรู้อะไร

อันที่จริง เราเริ่มรู้ตัวแล้ว ว่าความกังวลบางอย่างเข้ามา
ทำให้เรารู้สึกแย่ลงอีกครั้ง
แต่คนที่เอ่ยปากถามเรา คือ เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิท
แกถามว่า เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น ทำไมดูทรุดลง
เราตอบไปว่า น่าจะเป็นเพราะพ่อแม่จะมานี่แหละ
เราเลยทรุดลงอย่างอัตโนมัติเลย
และครั้งนี้ดูจะหนักหนาสาหัสอีกครั้ง


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  แผลเปิด