06 เมษายน 2555

คุณหมอของเรา [5th]


พฤหัส ที่ 5 เมษายน 2555 วันหมอนัดค่ะ

ฝนตกแต่เช้า งง ก็แถวบ้านเรายังสว่างจ้า ทำท่าจะมีแดดด้วยซ้ำ
เปิดtwitterเช็คการจราจร พบว่า
ฝนได้เข้ายึดพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยฯ และแถบปทุมวัน เรียบร้อยแล้ว
รามาฯจะเหลือเร้อ - -"
เลยเปลี่ยนเส้นทางนิดหน่อย ก็กลัวจะหนีเสือปะจระเข้เหมือนกัน
แต่โชคดี ไปถึงก่อนเวลานัดตั้งชั่วโมงนึง

คุณหมอก็ยังเป็นคุณหมอเหมือนเดิม
(นั่นสิ จะให้เป็นอะไรล่ะ 5555)
ถามทั่วๆไป เรื่องนอน เรื่องอื่นๆ เหมือนเดิม

ครั้งนี้เราไปแบบค่อนข้างลั้ลลานะ
มันชิลล์มาก อาจเพราะรู้สึกคุ้นเคยกับหมอแล้ว
คุ้นเคยกับการต้องตื่นเช้าเดินทางไปโรงพยาบาล
คุ้นเคยกับทุกอย่างในแผนกจิตเวช
รวมทั้งราว 20 วันที่ผ่านมา ทุกอย่างก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก

แต่กลายเป็นว่า..คุณหมอชวนคุยไปคุยมา
เราร้องไห้ซะงั้น ร้องเยอะมากด้วย
เคยร้องไห้ครั้งนึง แต่แค่น้ำตาซึมแล้วรีบคว้าทิชชูมาซับ ก็จบ
แต่คราวนี้ไม่สิ พยายามกลั้น ยิ่งล้น
แถมในกระเป๋าก็ไม่มีทิชชูอีก โอยแย่
ร้องไป พูดไป ปาดน้ำตาไป เหลือบมองทิชชูในห้อง
มันอยู่ข้างหลังห้อง ไกลเกินจะคว้ามา

ซักพัก คุณหมอคงสังเวช -"- หยิบมาวางให้

ก่อนหน้าจะพบคุณหมอ เรานั่งมองอยู่หน้าห้อง
มีคนไข้ก่อนเรา 3 คน ซึ่งเข้าไปไม่นานนะ โดยเฉลี่ย 10-15 นาที
เราไม่รู้ว่า เค้าใช้เกณฑ์อะไรวัด ว่าต้องใช้เวลาพูดคุยกับคนไข้
มากน้อยแตกต่างกันแค่ไหน

ครั้งนี้เราคุยกับคุณหมอนานมาก
เกี่ยวกับเรื่องทางบ้าน ในฐานะที่เราเป็นลูกคนโต
คุณหมอคุยเกี่ยวกับความคิดเราหลายอย่าง
วิธีคิด ที่จะทำให้ชีวิตมันมีความสุขกว่านี้
วิธีมอง ความรับผิดชอบต่างๆที่เราแบกมาตลอดชีวิต

เอาเข้าจริง ถามว่า เราคิดแบบนั้นได้มั๊ย
ไม่ได้หรอก เพราะถ้าเราคิดได้ คงไม่ต้องคุยกันแบบนี้
เราคงคิดและทำไปแล้ว
แต่ถามว่า มันมีประโยชน์มั๊ย อยากบอกว่า
มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

มันทำให้เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นอีกมุม
เป็นวัตถุดิบให้เราใช้ตัดสินใจในอีกหลายๆเรื่องต่อไป

คำแนะนำจากคนอื่น ก็เหมือนหนังสือที่เราอ่าน หนังที่เราดู
นอกจากความบันเทิงแล้ว มันคือ วัตถุดิบ
ที่เราสามารถเก็บไว้ เพื่อเอามันมาประมวลใช้ในโอกาสต่างๆ

คนที่อ่านหนังสือเยอะ ก็ไม่ได้แปลว่า เค้าจะนำมันมาใช้ได้ทุกอย่าง
แต่ก็ดีกว่าไม่อ่าน นั่นก็ วัตถุดิบน้อยเกินไป ที่จะให้มันตกผลึกได้

วันนี้เราบอกคุณหมอเรื่องblogนี้ด้วย
printสถิติ ที่เห็นเฉพาะเจ้าของblog ไปให้คุณหมอดู
บอกว่าหลังจากเป็นคนป่วยที่นี่ได้ซักพัก เราก็ทำblogนี้ขึ้นมา
แล้วที่เหลือเชื่อมากคือ สถิติคนเข้ามาอ่าน
รวมทั้งคนที่เข้ามาพูดคุยในtwitter

คุณหมอจะจดURLเพื่อไปดู
เราบอก ก็เอาอันเนี่ยะ เราprintมาให้ มีURLเรียบร้อย
แล้วเกริ่นไปนิดนึง ว่าแซวไว้เยอะเหมือนกัน
แอบเห็นสีหน้าคุณหมองุนงงเล็กน้อย เราก็บอกไปว่า
เราไม่ได้ระบุชื่อคุณหมอนะ แต่ระบุชื่อโรงพยาบาล

ครั้งนี้เราก็กินยาตัวเดิมเด๊ะๆ ส่วนวันนัดครั้งต่อไป
ก็อีก 3 สัปดาห์เหมือนช่วงแรกๆ

มาถึงเรื่องที่สะเทือนอารมณ์เราพอสมควร
เราเก็บไว้ท้ายๆ เพราะคงต้องไปเขียนเพิ่มในโพสต์ถัดไป
นั่นก็คือ

คุณหมอบอกเราว่า หลังจากเอาข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้น
จากการรักษามาราว 2 เดือนกว่าๆนี้ ไปวิเคราะห์แล้ว
สรุปได้ว่า เราเป็น
Major Depressive Disorder

อืม ก็โรคซึมเศร้านั่นแหละ ถามว่า จะมีอะไรต่างจากนี้มั๊ย
มันก็ไม่หรอกนะ แต่สะเทือนอารมณ์ พอๆกับตอนที่เอายาไปเช็คนั่นแหละ
ที่เราเคยบอกว่า รู้ว่าเป็นเฉยๆ กับรู้ว่าเป็นแล้วต้องกินยา
ความรู้สึกมันต่างกันมากมายนัก

และก็อีกนั่นแหละ เมื่อพบคุณหมอใหม่ๆ 
เราถามคุณหมอว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าใช่มั๊ย
คุณหมอบอกว่าไม่ เป็นภาวะซึมเศร้า 
ซึ่งเราก็เคยบอก  แล้วยังไง? มันจะต่างอะไร? 

แต่สำหรับวันนี้ ที่คุณหมอรักษาเรามานานพอสมควร
ที่จะรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปได้ว่า เราเป็นโรคซึมเศร้า 
ความรู้สึกมันก็ต่างอยู่ดี เหมือนจะเซล้ม ทั้งๆที่นั่งอยู่

โดยเฉพาะสิ่งที่คุณหมอบอกว่า 
น่าจะเป็นเพราะร่างกาย มากกว่าปัญหาทางจิตใจ
และอาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์

จะมีใครรู้มั๊ยว่าเรารู้สึกเหมือน
โลกหยุดหมุนไป 10 วินาที


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  โรคส่วนตัว