26 มีนาคม 2555

เก็บตก-จากครั้งที่2


โชคดีที่บันทึกสั้นๆไว้ เลยย้อนกลับไปดูได้

ขอเล่าต่อจากรับยา แล้วออกจากโรงพยาบาลก่อน
ปกติเราจะขับรถเอง แต่ช่วงเวลาแบบนี้ ทำให้เราไม่ได้ขับรถเลย
คือ ขับได้นะ แต่เรากลัวอุบัติเหตุ จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน
การขับขี่ยานพาหนะ เป็นความรับผิดชอบสูงอย่างนึง

เรานั่งรถปอ.ออกจากหน้าโรงพยาบาล
ไปลงที่ศูนย์การค้าแห่งนึง
แล้วเข้าไปห้องน้ำ ร้องไห้อยู่ราว 15 นาที
สะอึกสะอื้น ออกมาจากห้องน้ำตาบวมเลย
ร้องแบบไม่มีสาเหตุ คงร้องต่อเนื่องจากที่น้ำตาซึมต่อหน้าคุณหมอ

จริงๆเราเป็นคนที่ร้องไห้ง่ายมากนะ
แต่ช่วงหลังๆนี่ ดูเหมือนคนอดทน ร้องไห้ยากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้าย เรารู้แล้วว่าเราไม่ใช่คนอดทน
แค่ไม่ร้องไห้ ไม่พูด ไม่แสดงออก ไม่ได้แปลว่า ทนได้

ตอนที่เล่าผลข้างเคียงของยาให้คุณหมอฟัง
ว่าเพื่อนที่เป็นเภสัชกร บอกให้กลับไปปรึกษาหมอเหอะ
แต่เราเลือกจะอดทน เพราะคิดว่า
จะรักษาโรค ก็ต้องอดทนกันบ้าง
คุณหมอหัวเราะเลย บอกว่า อดทนอีกแล้ว ^_^
แต่คุณหมอบอกว่า มันก็เป็นคุณสมบัติที่ดีนะ ความอดทนเนี่ยะ

คุณหมอถามข้อดีของเรา เรานั่งอึ้ง
คุณหมอยิ้ม แล้วพูดต่อว่า ถ้าให้บอกข้อเสีย จะบอกได้ทันทีใช่มั๊ย
แล้วคุณหมอก็บอกข้อดีของเรา เราจำได้ลางๆเท่านั้น
ว่า เป็นคนเมตตา และอะไรอีกนี่แหละ มันเลือนลางเพราะเบลอๆและเหนื่อย
ที่จำตรงนี้ได้ชัด ก็เพราะคุณหมอบอกว่า เรามีเมตตา

เมตตาคนอื่น ดูแลความรู้สึกคนอื่น
แต่ไม่เมตตาตัวเอง ไม่ดูแลความรู้สึกตัวเอง

อีกประโยคที่พอจำได้ คือ
ไม่ต้องพยายามเข้มแข็ง
บางครั้ง คนที่ยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ นั่นแหละคนเข้มแข็ง

จริงๆครั้งนี้
นอกจากยาตัวเดิมแล้ว
คุณหมอให้ยาช่วยลดอาการคลื่นไส้มาให้
แต่เราถามเภสัชกรแล้ว ว่าถ้าไม่กินจะได้มั๊ย
คือ ถ้าจำเป็นต่อการรักษาเราจะกิน
แต่ถ้าไม่จำเป็น เราจะไม่กิน อะไรที่พอทน ก็จะทน
สรุปว่ายาที่ได้รับมาช่วยลดการคลื่นไส้ เรากินไปแค่เม็ดสองเม็ดเท่านั้น
เพราะมันก็ไม่ได้จะคลื่นไส้อะไรมากมายแล้ว

ก่อนออกจากห้องตรวจ
เราถามคุณหมอว่า เบื่อมั๊ยที่ต้องมาฟังอะไรแบบนี้ทุกวัน
คุณหมอบอก ก็ไม่ทุกวันนะ (คุณหมอไม่ได้ลงตรวจทุกวัน)

แต่ที่ประทับใจ คือ คุณหมอบอกว่า
คุณหมอตั้งใจมาทำตรงนี้

คนไข้ฟังก็ชื่นใจนะ จะตั้งใจรับการรักษาเหมือนกัน
^_^


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ --->  ทางเลือกอื่น..มีมั๊ย?