24 มิถุนายน 2555

หนักหนาสาหัส


คุณหมอให้เราเริ่มกินยาตัวใหม่ เมื่อตอนพบกันครั้งที่6 (ปลายเดือนเมษา)
จาก 1 เม็ด เพิ่มขนาดมาเรื่อยจนเป็น 4 เม็ด และลดยาตัวเดิมที่กินตั้งแต่แรกลง
ซึ่งผลข้างเคียงจากยา ค่อนข้างหลอนเลยสำหรับเรา

ก่อนจะเล่าผลข้างเคียงของยาตัวนี้
ขอเล่าเรื่องที่เราไปตามล่าหายาตัวนี้ก่อน

ตามหลักแล้ว คุณหมอจะจ่ายยาให้พอดีๆกับวันนัด
ซึ่งคงพอจะเข้าใจได้นะคะ ว่าป้องกันการเอายาไปใช้ในทางที่ผิด

บ่ายวันพฤหัสที่ 14 มิถุนา เราได้รับจดหมายจากโรงพยาบาล
เลื่อนนัดตรวจจากเดิม ศุกร์ที่ 22 มาเป็นวันศุกร์ที่ 15 ซึ่งก็คือวันรุ่งขึ้น
อะจ๊าก!!
ด้วยเหตุผลที่ว่า วันนัดเดิม คุณหมอติดอบรม
ไม่ว่าจะทำยังไง เราก็ไปวันรุ่งขึ้นไม่ได้ เพราะติดเรื่องงาน
แต่เดือนนี้คุณหมอลงตรวจ 2 วัน ต่อสัปดาห์ ยังมีวันจันทร์อีกวัน
ก็เลยโทรเข้าไปที่จิตเวช ขอเลื่อนเป็นวันจันทร์ที่ 18 ละกัน
ซึ่งก็มีเหตุให้ไปไม่ได้อีก ก็เลยหยิบยามาเช็คดูว่าจะพอรึปล่าว
ยาอีก 2 ตัวยังพอ แต่ยาตัวใหม่เนี่ยะ ไม่พอ งานเข้า!
มีทางเดียว คือ เราต้องไปรพ.วันใดวันหนึ่ง
เพื่อพบกับคุณหมอท่านอื่นให้จ่ายยาให้ แล้วนัดใหม่อีกครั้ง

แต่ช่วงนี้ เราค่อนข้างยุ่งเรื่องงานจริงๆ
จะไปรามาแบบไม่ได้นัด ต้องใช้เวลาเกินครึ่งค่อนวัน ก็ลำบากอยู่
ตอนนั้นก็แว๊บคิดขึ้นมาว่า ร้านขายยาใหญ่ๆจะมีรึเปล่า
เอ๊ะ แล้วเค้าจะขายเรามั๊ย  - -'
ถ้าเราเอาหลักฐานไปให้ดูล่ะ  - -"
นี่เมืองไทยนะ ยาไม่น่าจะหายาก  -"-
ก่อนจะไปกันใหญ่ ก็เลยถาม คุณ @wilasineek (เภสัชกร) ว่าจะหายาได้ที่ไหน
คุณ @wilasineek บอกว่ายานี้ไม่มีขายตามร้านขายยา ให้ลองไปคลินิคดู

สุดท้าย เราก็เลยไปคลินิคนอกเวลาราชการที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
มันยุ่งยากตรงก่อนที่จะพบคุณหมอ เพราะผ่านเจ้าหน้าที่เยอะมาก
ไม่รู้จะบอกว่าเป็นอะไร เลยใช้มุขปวดหัวเหมือนเดิม -"-
แต่พอเจอคุณหมอแล้ว เรายื่นบัญชีจ่ายยาที่เคยได้+ซองยาให้ดู
แล้วบอกว่าเป็นอะไร รักษาอยู่ที่รามา คุณหมอพูดทันที " ขาดยา? "
" โอว โล่งอก " แอบคิดในใจนะคะ
ตอนที่เราบอกว่า กินวันละ 4 เม็ด คุณหมอร้อง " หือ " แล้วหยิบซองยามาดูอีกครั้ง
สรุปเราก็ได้ยามากินให้ครบตามที่ควรจะเป็นก่อนจะหาเวลาไปพบคุณหมอ

คราวนี้ก็มาถึงผลข้างเคียงของยาแล้วล่ะ
ยาตัวแรกว่าเจอเยอะแล้ว ตัวนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ค่ะ
ยาตัวนี้ คุณหมอให้เรากิน 2 เดือนแล้ว
โดยเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จากเม็ดเดียว จนถึง 4 เม็ด

อาการเริ่มตั้งแต่กินแค่เม็ดเดียวเลย คือ จะวูบ หน้ามืด เวียนหัว
ไอวูบเนี่ยะ น่ากลัวมาก เวลาลุกขึ้นจากการยืนหรือนั่ง ภาพหายไปหลายวินาที
แล้วจะชาลงไปถึงปลายเท้าเลย ต้องหาอะไรยึดไว้
ตอนเจอแรกๆ ใจเสียมาก พอซักพักก็ชิน
คือ รู้ตัวแล้วว่ามันจะราวๆกี่วิ ก็ปล่อยไป หาอะไรจับไว้ หรือยืนพิงอะไรซักอย่าง

พอคุณหมอสั่งเพิ่มเป็น 2 เม็ด เริ่มมีอาการใหม่ คือ กินอาหารเยอะมาก
ตอนนั้นยังไม่ทันคิดว่าตัวเองกินมากขึ้นอย่างผิดปกติ
มองย้อนกลับไปถึงจะรู้..
อย่างอยากไปซิสเลอร์มากๆ ไปแล้วกินชนิดที่แฟนต้องหยิบหนังสือมานั่งอ่านรอ
กินอิ่มมาก แต่มันยังอยากกินอีกๆๆๆๆๆ
แล้วก็เริ่มมีอาการบ่นอยากกินขนม ซึ่งปกติแล้ว น้อยครั้งมากที่จะบ่น
มีบางวันถึงขนาดที่บอกแฟนว่า จอดรถตรงตลาดหน่อยจะไปหาขนมกิน
แล้วก็หนักขึ้นเรื่อยๆเมื่อกินเพิ่มเป็น 3 เม็ด

พอคุณหมอให้เพิ่มเป็น 4 เม็ด
คราวนี้กินแบบผิดปกติไปเลย แต่ยังไม่ทันได้สังเกตตัวเอง
คิดว่าเป็นPMS ก็ไปเปิดปฏิทินดู ก็ไม่ใช่ งงตัวเอง แต่ก็ไม่ทันคิดอีก
จนกิน 4 เม็ดเข้าสัปดาห์ที่ 2 เริ่มหนักมาก คือ กินตลอด เรียกว่าถ้าไม่หลับก็กิน
ยีนส์ตัวที่เคยหลวม กลายเป็นคับมาก พอไปชั่งน้ำหนัก ปรากฎว่าขึ้น 2 กิโล
กินขนมทุกวัน ทั้งที่ไม่ใช่นิสัย แล้วกินในปริมาณที่เยอะมากผิดปกติ
กินข้าวเสร็จก็อยู่ไม่เป็นสุข เดินหาขนมกินอีก

อาการหน้ามืดบ่อยๆก็ยังเป็นอยู่
จนเริ่มสังเกตว่ามันเริ่มหงุดหงิดง่าย เริ่มเหวี่ยงๆ
เริ่มรู้สึกว่ากินจนหยุดไม่ได้ กินจนแน่นท้องแล้ว ก็หยุดไม่ได้
เอะใจ ถามคุณ @wilasineek (เภสัชกร) จึงได้รู้ว่ายานี้ทำให้เจริญอาหารด้วย
แต่ของเรามันไม่ใช่เจริญอาหารแล้วล่ะ มันเหมือนกินแบบผิดปกติเลย

แล้วก็เริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ คอแห้งผาก ปากแห้ง ตาพร่า เวียนหัว
ยังมีอาการวูบ และกินมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่พอ..ที่หลอนมากๆ คือ
มักจะมองเห็นสิ่งของเคลื่อนที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่มืดๆ
เริ่มมองไม่ชัด มองเห็นข้าวของเป็นสิ่งที่น่ากลัว ขยับได้
มีครั้งนึง เข้าห้องน้ำแล้วไม่ได้เปิดไฟ เพราะอาศัยไฟทางก็มองเห็นแล้ว
มองไปที่ตรงบานพับของประตู มองเห็นมันขยับได้ ขยับไปขยับมา
เหมือนหนอนตัวใหญ่ๆ ที่ค่อยๆคลานขึ้นๆลงๆ ตกใจมาก
เพ่งมองไป ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยังคงขยับอยู่
เลยตัดสินใจ เปิดไฟ แล้วจ้องอีกครั้ง ก็พบว่าแค่บานพับประตูเท่านั้น
เวลานอน แล้วตื่นขึ้นกลางดึก มักจะเห็นเงาอะไรแปลกๆ
เห็นเป็นคนยืนอยู่บ้าง หรือใครมานั่งจ้องบ้าง ตื่นมาก็กลัวนะ
แต่คิดในใจตัวเองว่าตาฝาดเท่านั้น แล้วก็นอนต่อ
บางคืนเห็นเงาข้าวของเป็นคนยืนถือหัวก็มี ก็ผีหัวขาดนั่นแหละ
จริงๆเป็นคนกลัวผีมาก แต่ในตอนนั้นก็ปลอบใจตัวเองว่าตาฝาดๆ
แล้วก็หลับต่อ บอกตัวเองแบบนี้จนชิน ไม่ว่าจะตื่นมาเจออะไรที่น่ากลัว
ก็จะเตือนตัวเองว่าเราตาฝาด มองผิดไป

แต่เราก็ยังคงกินยา 4 เม็ด ทุกวัน ทั้งที่ไม่อยากกินเลย
แถมยังไปหายามากินตามที่เล่า เพื่อรอวันที่จะไปพบคุณหมอ

พรุ่งนี้ (จันทร์ที่ 25 มิถุนา) คุณหมอลงตรวจ
เราคงต้องไปเล่าทั้งหมดนี้ให้คุณหมอฟังแล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณหมอจะให้ทำยังไง
เอาไว้กลับจากโรงพยาบาลแล้ว จะรีบมาเล่าละกันนะคะ



+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->   คุณหมอของเรา [9th]


อยู่กับโรค ..ให้ได้ (ตอนที่2)


ตอนนี้เรายอมรับและเริ่มเข้าใจแล้วว่า
คงเป็นไปได้ยากที่เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

เราต้องเริ่มทำอะไรใหม่หลายอย่าง
เรื่องง่ายๆที่น่าจะทำได้ไม่ยาก แต่ยากมาก อย่างการเปิดมือถือ
เหลือเชื่อที่เราปิดมือถือถึง 5 เดือน
เบอร์มือถือหลายเบอร์ เราเริ่มปิดเบอร์ที่คนรู้เยอะที่สุด
ไล่มาเรื่อยๆ จนวันนึงถึงขนาดที่ปิดทุกอย่าง
เรียกว่า ถ้าไม่มาหาถึงบ้าน ก็ติดต่อไม่ได้

เราต้องค่อยๆเปิดมือถือทีละเบอร์
มันยากอย่างเหลือเชื่อ
แต่เราไม่อยากไปกำหนดอะไรแล้ว
ถ้าคิดว่าต้องทำให้ได้ แล้วมันไม่ได้ จะแย่ไปกันใหญ่
ตอนนี้ก็ถึงจุดที่ว่า เราเปิดมือถือทุกเบอร์
แต่จะรับเฉพาะเบอร์ที่มีการบันทึกในContactsเท่านั้น
เบอร์แปลกๆยังไม่รับ
ได้เท่านี้ เท่านี้ก็เท่านี้ค่ะ ค่อยๆทำไป ค่อยๆลองทำดู

เรื่องงานเป็นเรื่องที่ลำบากที่สุด
เพราะมันต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
คนที่นานๆต้องคุยซักครั้ง ก็ไม่เท่าไหร่
แต่คนที่ต้องคุยกันบ่อยๆนี่แหละ กลับทำให้เราลำบากใจ
โดยเฉพาะพนักงานของร้านตัวเอง

การต้องดูไม่เป็นผู้เป็นคนในสายตาลูกจ้างตัวเอง
คงเป็นอะไรที่แย่มากๆ
เราตัดสินใจบอกกับพนักงานของตัวเองว่าป่วย
แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นโรคซึมเศร้า ..มันยากเกินที่หลายคนเข้าใจ
เราบอกไปว่าเป็น ธัยรอยด์
มันดูจับต้องยาก งงๆ ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่คนส่วนใหญ่จะอ๋อๆไว้ก่อน

บอกไปว่าเราต้องกินยาทุกวัน บางวันหนักๆก็อาจจะลืมๆอะไรไปบ้าง
เพราะมันแย่มากเลย ที่สั่งงานไปแล้ว ตัวเองยังจำไม่ได้
การปกครองคน ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เราก็ต้องยอมรับ ยอมเปลี่ยนวิธีการหลายๆอย่างที่เคยใช้ปกครองคน
บางอย่างมันคงไม่เหมาะกับคนที่ป่วย
เราพยายามเป็นเพื่อนร่วมงาน ทำงานซับพอร์ตกันไป
ไม่ใช่เจ้านาย กับ ลูกน้อง
และบางครั้งก็ต้องยอมที่จะผิดพลาดบ้าง ในฐานะเพื่อนร่วมงานคนนึง

เรื่องการรักษา ก็รักษาไปเรื่อยๆ กินยาไปเรื่อยๆ
ก็แอบหวังเล็กๆ ว่าถ้าวันไหนที่เจอยาที่OKกับเราแล้ว
ก็คงจะดีกว่านี้..
ถ้าแค่กินยาเม็ดสองเม็ดต่อวัน ก็ช่างมัน คิดซะว่าเป็นวิตามินละกัน
แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ได้ เพราะ กินยาครั้งละ 6 เม็ด .. แย่หน่อย
แถมผลข้างเคียงของยา ยังรบกวนการใช้ชีวิตค่อนข้างมาก

ตอนนี้เราไม่มีความคิดว่ามันจะหายเมื่อไหร่แล้ว
หลายๆเรื่องเราต้องเริ่มใหม่ เหมือนเด็กหัดเดินเลย
แต่ก็ยอมรับไป อะไรยังทำไม่ได้ ก็ช่างมัน เดี๋ยวมันก็ได้เองซักวัน
ไม่อยากบีบบังคับตัวเองมากไป
เพราะถ้าคิดว่าต้องทำให้ได้ พอไม่ได้ หรือ ทำได้ไม่ดี ก็รู้สึกแย่อีก

จริงๆ ชีวิตแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องกดดันอะไรมาก


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  หนักหนาสาหัส

16 มิถุนายน 2555

อยู่กับโรค ..ให้ได้ (ตอนที่1)


แน่นอนว่า เราป่วยเป็นโรคชื่อยาวๆนี้แล้ว ปฏิเสธอะไรไม่ได้
คุณหมอก็คอนเฟิร์มแล้วเมื่อพฤหัสที่ 5 เมษา
จากวันนั้น นับมาก็ราวๆ 2 เดือน
เราเฝ้าเพียรหาข้อมูลของคนที่ป่วย จนเราเข้าใจอะไรมากขึ้น

นับจากบรรทัดนี้ไป คือ สิ่งที่เราคิดได้
จะถูกหรือผิด เราไม่รู้จริงๆ แต่เราคิดได้แบบนี้

หากคุณหมอของเรา หรือ คุณหมอท่านอื่นได้อ่าน
ช่วยแสดงความคิดเห็นมาทางtwitterหรือทางอื่น
จะขอบพระคุณมากค่ะ ^/\^

สิ่งแรกเลย ต้องยอมรับว่าตัวเองป่วย
ย้ำเลยค่ะว่าต้องยอมรับ ไม่งั้นไปต่อไม่ได้

ทำไมต้องยอมรับ
คิดว่าตัวเองไม่ป่วย แล้วใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้เหรอ ??
เราบอกเลยว่า ไม่ได้
เพราะ การดำเนินชีวิต ต้องเปลี่ยนไปแน่นอน

ถ้าคิดแบบคนไม่ป่วย แล้วฝืนตัวเองว่าต้องทำให้ได้
คิดแบบเดิม คาดคั้นเอาจาก ร่างกาย สมอง หัวใจ
คงพัง!

ในโรคอื่น อาจจะได้
ในร่างกายที่เพิ่งพิการ อาจจะได้
แต่สำหรับคนเป็นโรคซึมเศร้า เราคิดว่าไม่ควร
ไม่ใช่ไม่ได้นะ แต่เราว่าไม่ควร ไม่เป็นผลดีเลย

ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องการเขียนblog
แต่ละหัวข้อ ไม่ได้ยาวมากนัก
เป็นเมื่อก่อนใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ก็เสร็จ

แต่รู้มั๊ยคะ โพสต์ที่ผ่านมา เราใช้เวลา 5 วันในการเขียน
โดยใช้วิธีใหม่ ซึ่งเราไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนตอนที่ไม่ป่วย
นั่นก็คือ ค่อยๆพิมพ์ไปในแต่ละวัน บางวันได้ 2-3 บรรทัด
บางวันก็ได้เยอะหน่อย

ก่อนหน้า ที่เราจะยอมรับความจริง เราพยายามไม่ทำวิธีนี้
พยายามฝืน พยายามเหมือนเดิม
ก็ศักยภาพเรามีนี่นา เราเคยทำได้ง่ายๆ เราต้องทำให้ได้สิ
จบ! พัง!
blogก็ไม่ได้ มิหนำซ้ำ ต้องผิดหวังกับตัวเองที่ทำไม่ได้

จนเรายอมรับความจริงนั่นแหละ ว่าเราไม่เหมือนเดิมแล้วนะ
เราทำแบบนั้นไม่ได้แล้วนะ
เก็บหนังสือประเภท คุณทำได้!! ลงลังบริจาคไปให้พ้นตัวเลย
แล้วค่อยๆทำ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็หยุด เก็บเล็กผสมน้อย
ยอมรับซะ ว่าคนเก่าได้จากไปแล้ว เราต้องอยู่กับตัวเราแบบนี้ให้ได้

อย่างที่เราคุยกับคุณหมอ
แล้วคุณหมอถามเราประมาณว่า คิดว่าจะทำได้มั๊ย
แล้วเราตอบกลับไปว่า จะลองดู
คุณหมอยิ้มบอกว่าดีแล้ว ไม่ต้องคิดว่าทำได้หรือไม่ได้
ตาเราร้อนผ่าว เอ่ยปากขอบคุณคุณหมอเบาๆ คอแห้งผากเลย
เพราะอะไรรู้มั๊ย
เพราะคุณหมอไม่พูดว่า คุณทำได้!!

เราขอยกข้อความที่คุณ ‏@wisaruda ทวีตคุยกับเรานะคะ
ถัดจากวันที่เราไปหาหมอตามนัด แค่ 2 วัน
(คุณ ‏@wisaruda เป็นใคร
ลองไปตามอ่านที่blogนี้ได้เลยค่ะ --> เมื่อต้องอยู่กับชีวิตที่ไม่มีหวัง )

@DEPme แต่เราก็พยายามทำมันไปค่ะ ทำไปจนถึงที่สุดเท่าที่เราพอจะทำได้ ... ก็แค่นั้น
@DEPme แต่คนอื่นจะบอกว่า ไม่ได้ต้องทำให้ได้นะ ทำนองนี้ แต่ก็คิดว่า เขาไม่เข้าใจเรา ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
@DEPme ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เราเป็นจนเราไม่คาดหวังอะไรแม้กับตัวเองน่ะค่ะ เป็นแล้วเราบังคับตัวเองไม่ได้ มันเป็นของมันแบบนี้แหละ

นี่แหละ ใช่เลย
มันเป็นไปตามนั้นเลย คนที่ฝ่าฟันโรคนี้มาจนถึงจุดนึงแล้ว
เข้าใจแล้ว ยอมรับแล้ว ถึงทวีตข้อความแบบนี้ออกมาได้

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ
สำหรับคนที่เคยทำอะไรก็ทำได้
ถึงแม้ว่า จะยอมรับความจริงได้แล้ว
ชีวิต ไม่ได้มีแค่การเขียนblog
ทุกอย่างที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน เราต้องหัดเรียนรู้ใหม่
แม้กระทั่ง การรับโทรศัพท์ การติดต่องาน การสั่งงาน
งานบ้าน การขับรถ มากมายก่ายกองเลยค่ะ

ขอเล่าต่อในตอนหน้า
เพราะค่อนข้างยาว แต่เราก็อยากจะ up blog ตอนนี้แล้ว
^_^
ไม่ต้องรอให้มันสมบูรณ์แบบหรอกเน๊อะ


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  อยู่กับโรค ..ให้ได้ (ตอนที่2)

14 มิถุนายน 2555

ยอมรับความจริง


ขอเอาชื่อทีมน้องๆ ใน Thailand's Got Talent (Season 2)
มาเป็นหัวข้อในblogหน่อย เพราะมันตรงกับความเป็นไปในตอนนี้เลย

โพสต์ที่แล้ว เราบอกคุณหมอไปแล้วว่า
เราไม่ได้คิดอีกแล้ว ..
ว่ามันจะต้องใช้ระยะเวลานานขนาดไหนในการรักษา
เราคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ไปนั่นแหละ

เราอาจจะไม่ได้เจอผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามามากมายเท่าคุณหมอ
แต่ในระยะเวลาตั้งแต่ปลายเดือนมกรา มาถึงตอนนี้ กลางเดือนมิถุนา
เราได้รู้จักคนที่ป่วยเป็นโรคนี้มากมาย
ทั้งจากข้อมูลคนป่วยที่เราได้ค้นหามาอ่าน
ทั้งจากคนที่มาอ่านblogนี้ แล้วไปfollowกันในtwitter
หรือแม้แต่จากคนในtwitterเอง ที่มาเจอกันเพราะชื่อหรือbio

ข้อมูลที่ได้ คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าใช้เวลาในการรักษานานมากทั้งนั้นเลย
คนที่หายเร็ว..
อาจจะเป็นแค่ภาวะซึมเศร้าชั่วคราวจากเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต(รึปล่าว)

หรือเป็นแค่คนที่คุณหมอให้ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า เพื่อรักษาโรคอื่น
เราพบเจอแต่คนที่กินยามาหลายปีทั้งนั้น
เจอ 4 ปี 5 ปี หรือ มากกว่านั้น 7 ปี ก็เคย
ยังไม่นับที่จาก MDD ไปเป็น Bipolar Disorder ก็มี

คนทั่วไป อาจจะคิดว่า คนป่วยเป็นโรคนี้
จะต้องหดหู่ เศร้าซึม เสียใจ สะเทือนอารมณ์ ตามชื่อโรคเท่านั้น

แต่หลายคนไม่รู้เลยว่า ..
คนป่วยโรคนี้หลายๆคนสูญเสียความสามารถในการทำงาน(หรือการเรียน)ไปด้วย
เราจากคนที่อ่านหนังสือได้เยอะๆ เขียนคล่อง จะพูดจากับใครก็มั่นใจ
จะหยิบจับทำงานอะไร ก็คล่องไปหมด ..ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ความจำก็ถดถอยลง จะเขียนอะไรก็รู้สึกติดขัดไปหมด

คนทั่วไปคงไม่รู้ว่า คนป่วยด้วยโรคซึมเศร้า
ต้องทนทรมานกับอาการแบบนี้
คนทำงานก็ลำบากมาก
หลายคนไม่สามารถสื่อสารกับผู้ร่วมงานได้
หลายคนไม่สามารถจะทำงานที่ใช้ความละเอียดรอบคอบได้
คนที่กำลังเรียนอยู่
หลายคนอ่านหนังสือแล้วจำไม่ได้
เขียนงานไม่ได้ ฟังบรรยายไม่ทัน หรือจดไม่ทัน สรุปไม่ได้ ฯลฯ

เรารักษาตัว เพราะคาดหวังว่าตัวเราจะกลับมา
แต่เมื่อถึงวันนี้ เราไม่หวังให้ตัวเองกลับมาแล้ว
เราคนเดิม อาจจะตายจากไปแล้วก็ได้
รอมาหลายเดือน
รอจนเริ่มรู้ว่า..ตัวเราคนเดิม อาจจะไม่กลับมาแล้ว

ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไง อยากจะบอกเลยว่า
อยู่ๆก็เหมือนคนประสบอุบัติเหตุ แล้วเกิดตาบอด
ช่วงแรกๆ ก็รับไม่ไหว และคาดหวังว่าตาอาจกลับมามองเห็น
จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่
อาจจะตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง แล้วมองเห็นเลย
หรืออาจจะผ่าตัด แล้วมองเห็น ฯลฯ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตาก็ยังคงมองไม่เห็น
ต้องใช้ชีวิต ต้องหัดเดิน หัดเข้าห้องน้ำ หัดกินข้าว หัดโทรศัพท์ใหม่  ฯลฯ
แน่นอนที่สุด คนที่ไม่ได้ตาบอดมาแต่กำเนิด
ต้องมาทำสิ่งเดิมที่เคยทำมาตลอด
แต่สิ่งเดิมๆ กลับยากมาก
ทำไม่ได้ ไม่คล่อง หรือ ไม่ดีเหมือนเดิม
ลองคิดดูว่า ว่าจะรู้สึกยังไง
เครียด ขัดใจที่ตัวเองทำไม่ได้เหมือนเดิม ความรู้สึกมากมาย

วันนี้เรายอมรับความจริงแล้ว
ว่าเราเป็นโรคนี้ และเราอาจจะกลับไปเป็นคนเดิมไม่ได้
เราต้องยอมรับ
เหมือนที่คนพิการยอมรับว่าไม่อาจเหมือนเดิมอีก
แล้วต้องพยายามใช้ชีวิตต่อไปให้ได้

เราขอเอาไปต่อในpostถัดไป
ว่าเรายอมรับได้แล้ว แล้วยังไงต่อไป ??


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  อยู่กับโรค ..ให้ได้ (ตอนที่1)


06 มิถุนายน 2555

คุณหมอของเรา [8th]


ห้องตรวจที่นั่งเป็นตัว L เช่นเดิม
คุณหมอเอื้อมไปหยิบแฟ้มเรามา
เปิดๆ อ่านๆ พลางถามว่าเป็นไงบ้าง
เราตอบว่า " เรื่อยๆ " มันขี้เกียจคุยแล้วจริงๆนะ
คิดในใจว่า จ่ายยาเถอะ

คุณหมอวางปากกา เอียงตัวมานิดนึง ถามเรื่องงานทันที
นั่นไง!! คิดในใจ "คุณหมออ่านblogเราชัวร์"
เราก็ตอบไปอย่างที่มันเป็น
ปัญหาหลายอย่างที่..ตั้งแต่ป่วย

มันทำให้เราทำงานที่ใช้สมาธิไม่ได้
แถมยังรวมไปถึงงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์..จบเลย
นี่ยังไม่รวมเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกจ้าง
หรือคนอื่นที่เราต้องดีลงานด้วย
เราก็พูดๆไป ตอบคำถามคุณหมอไป
ไม่ได้หวังให้อะไรมันดีขึ้น แย่ลง หรืออะไรมันเปลี่ยนแปลงหรอก

ถ้าจะบอกว่าคุณหมอดูrelaxขึ้น
มันดูตลกใช่มั๊ย แทนที่คนไข้จะrelaxขึ้น
แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆนะคะ  -"-
คุณหมอดูrelax สิ่งที่ถาม มันดูเป็นการคุย มากกว่าการซัก
คุณหมอไม่จดอะไรเลย หันตัวมานั่งคุย

คุยกันไป คุณหมอก็พูดถึงบันไดเลื่อน
คุยกันยาวนะ แต่เอาเป็นประมาณว่า
ถ้าต้องใช้ " บันไดเลื่อนลง " ในการเดินขึ้น
มันก็เหนื่อย หนัก แย่มากก็อาจจะกลิ้งตกลงมาบาดเจ็บ
ชีวิตเราตอนนี้ ขาลง ว่างั้นเหอะ - -"

เราบอกสิ่งที่เราคิด (ซึ่งจริงๆไม่ได้คิดจะบอกคุณหมอนะ)
เราบอกว่า..
วันที่มาครั้งแรก เราไม่คิดเลยว่ามันจะมาถึงวันนี้
คิดว่าไม่นาน อะไรๆก็คงคลี่คลาย
วันที่พบคุณหมอเป็นครั้งที่2
เรายอมรับแล้วว่า มันคงยาวนาน แต่เราก็คิดไว้แค่ 5-6 เดือน
พอคุณหมอบอกว่าเราเป็น Major Depressive Disorder
วันนั้นเราคิดเลย 2 ปี
แต่วันนี้ เราคิดว่ามัน infinity

เราไม่ได้คิดอีกแล้ว ว่ามันจะต้องใช้ระยะเวลาขนาดไหน
จะบอกว่าหมดหวังก็อาจไม่ถึงขนาดนั้น

เราก็ย้ำกับคุณหมอว่า เราไม่ได้จะหยุดรักษานะ
ไม่ได้จะหยุดกินยา หรือ จะไม่มาพบคุณหมออีก
เราเหนื่อยแล้ว กับการรักษาเพื่อให้ตัวเองกลับมา
วันนี้เราคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ไป
ใช้ชีวิตง่อยๆแบบนี้แหละ ค่อยๆไป
ไม่ใช่ไม่เข้าใจนะ ว่าชีวิตมีขึ้นมีลง
แต่เราไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องราวพวกนี้จะจบลงเมื่อไหร่

เราก็คงต้องไปทั้งๆแบบนี้แหละ ชีวิตเราพังมามากแล้ว
จะนั่งรออยู่ตรงตีนบันไดเฉยๆ ก็คงไม่ไหวแล้ว
คงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคแบบนี้ ว่าจะอยู่ยังไง
คุณหมอยิ้ม ถามเราประมาณว่า คิดว่า จะทำได้มั๊ย
เราบอกว่า ก็จะลองดู

คุณหมอบอกว่าดีแล้ว
ไม่ต้องคิดว่า จะทำได้ หรือ ทำไม่ได้
ก็จำที่บอกเมื่อกี้ ที่ว่าจะลองดู
เราก็บอกคุณหมอว่า ขอบคุณมากค่ะ
เหมือนน้ำตามันพุ่งจากต่อมไหนไม่รู้ มาเอ่อในตา
แต่ไม่ได้ร้องไห้ แค่ตามันร้อนไปหมด

แล้วคุณหมอก็หันหน้าไปดูที่แฟ้มพลางพูดไปพลางว่า
ที่คุยๆไป ไม่ต้องไปจำมากก็ได้ (อะไรประมาณนี้แหละ)
ประมาณว่า ถ้าจำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปจำ
จำแค่ ความรู้สึกเมื่อกี้ ที่บอกว่าจะลองดู

-"- (เราขมวดคิ้วทันที)
คิดในใจว่า " อ่าวววว คุณหมอ!! "
คือ ทุกครั้งที่เขียนblogเกี่ยวกับคุณหมอ
เราจะมึนๆงงๆตลอด ว่าคุณหมอพูดอะไรบ้าง
เวลาเล่า ก็มักจะบอกว่า จำไม่ค่อยได้
แสดงว่าคุณหมอคงอ่านblogแน่ๆ
รู้สึกเหมือนโดนแซวเล็กๆ แต่ก็หายกัน
เพราะเราก็เขียนถึงคุณหมอซะเยอะ
จนคนอื่นเค้าจินตนาการคุณหมอไปถึงไหนๆ
โดยที่คุณหมอไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ โอเค หายกันนะ!!

คุณหมอดูแฟ้ม แต่เราคุยต่อ (ไหนว่าจะไม่คุย)
เราบอกไปว่า ตอนนี้ เวลาใครมีทุกข์ใจเรื่องอะไรมาบอกเรา
เราจะใบ้รับประทาน ไม่รู้ว่า ควรจะพูดอะไรออกไปดี
ควรจะเฉยๆ ควรจะอือออ หรือ ควรจะคุยอะไร

ที่เราต้องบอกเรื่องนี้กับคุณหมอ เพราะ..
เดิม เราเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาปรึกษาบ่อยมากตั้งแต่เด็กๆเลย
เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ เวลาใครทุกข์ใจอะไรมาเล่า
เราไม่รู้ว่า เราควรจะทำยังไง มันแปลกมาก
ที่อยู่ๆ เหมือนทักษะด้านนี้หายไปเลย

คุณหมอ พูดประมาณ ก็ไม่ต้องอะไร
รับฟังเฉยๆ ไม่รู้จะพูดอะไร ก็ไม่ต้องพูด
ตอนนี้ต้องดูแลตัวเองก่อน
แล้วคุณหมอ ก็พูดประมาณว่า
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เราเป็นตัวของตัวเอง
คนอื่นก็ให้เค้าแก้ปัญหาของเค้าไป
เราก็พึมพำว่า " ป่วยเนี่ยะนะ คือ การเป็นตัวของตัวเอง "
คุณหมอตอบว่า " ก็เป็นแล้วครับ ไม่ใช่คนอื่นเป็น "
-"-

จริงๆเราคุยกับคุณหมออีกหลายเรื่องเลย
แต่คงเล่าไม่หมด
การมาหาหมอตามนัดครั้งนี้ ถ้าไม่นับการรอร่วมครึ่งวัน
เป็นครั้งที่เรารู้สึกว่า..เราhappyนะ
เหมือนเราได้มานั่งคุยกับเพื่อน
เพื่อนคนเดียวที่ไม่ได้ป่วยแบบเรา แต่พอจะเข้าใจเรา
จริงๆแล้ว คุณหมออาจจะไม่เข้าใจหรอก
แต่คำพูดที่พูดออกมา ไม่ได้หักความรู้สึกกันเกินไป

คุณหมอไม่เคยพูดว่า
อย่าไปเครียด อย่าไปคิด ปล่อยวาง ..อะไรพวกนี้
เราเคยเจอคำพูดของคุณหมอหลายอย่าง
ที่ไม่เป็นฟอแมทของคนทั่วๆไปเค้าพูดกัน (ซึ่งก็ไม่รู้จะพูดเพื่ออะไร)

อย่างเคยเล่าอะไรซักเรื่องให้คุณหมอฟัง
คุณหมอก็คุยๆ แล้วพูดว่า " ไม่ใช่ไม่ให้คิดนะครับ "
อือ ก็ถูกแล้วไง คนไม่คิดอะไรเลยเนี่ยะ น่าจะเป็นคนตายนะ
แต่คนทั่วไป ชอบปลอบคนอื่นว่า อย่าไปคิดมาก
หรือ เราเคยเล่าเรื่องที่เราขว้างของ
คุณหมอไม่พูดอะไรเลย นอกจากบอกว่า " ยังอีกเยอะ "
ไม่ได้บอกว่าเราควรทำยังไง ไม่ห้าม ไม่บอกวิธีแก้ไข
กลับบอกว่า สงสัยจะเก็บไว้มาก .. ซะงั้น
แต่กลายเป็นว่า..มันดีกว่ามานั่งบอกว่าเราควรทำยังไง

แล้วคุณหมอก็ดูแฟ้ม พลางพูดว่า
" อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของหมอสินะ "
คุณหมอสั่งปรับยาตัวล่าสุดให้กินเพิ่มขึ้นอีกเม็ดนึง
แล้วก็อธิบายเรื่องยานิดหน่อย
จากที่เคยให้เพิ่มยามา เป็นเวลา 2 สัปดาห์
มันยังไม่ค่อยโอเค จะขอดูต่ออีก

นัดครั้งหน้าคุณหมอไม่ได้ลงตรวจวันพฤหัสแล้ว
แต่เป็น จันทร์ กับ ศุกร์ แทน เราขอเป็นวันศุกร์
คุณหมอให้เลือก ระหว่าง 15 กับ 22 ว่าจะมาวันไหน
-"- เง้ยยยย เลือกได้ด้วย
เราขอเป็นวันที่ 22 เพราะเห็นคนไข้เยอะเหลือเกิน
รวมทั้งเราก็อยากให้โอกาสยา ให้โอกาสตัวเอง ซักนิด
เผื่อมันจะมีอะไรดีขึ้น แต่เพื่อ..ไม่ให้คิดไปเอง ก็เลยถามว่า
มันต้องเป็นอีก 2 สัปดาห์มั๊ย คุณหมอบอกว่าเลทไปก็ได้

คุณหมอเขียนใบสั่งยา เราก็บ่นพึมพำไปว่า เบื่อกินยาแล้ว
จากที่เคยกินแล้วเฉยๆ เดี๋ยวนี้ชักเริ่มกินแล้วติดคอ
คุณหมอเขียนพลางพูดพลางว่า
" เลือกกินเฉพาะยาที่เกี่ยวกับอารมณ์ก็ได้ครับ "
-"- เอ่อ ก็ยาทั้งสามตัวเนี่ยะ มันระบุว่ารักษาโรคซึมเศร้าทั้งหมด
ยานอนหลับ ยาแก้คลื่นไส้ เราก็ไม่ได้กินนานแล้ว
สรุปว่าเราก็ต้องกินทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหรอ

กินก็กิน ถ้าสั่งให้ลดตัวไหน หรือเลิกกิน ก็ค่อยว่ากัน
เป็นสี่เดือนจากตลอดชีวิตที่เรากินยาอย่างเคร่งครัด ไม่เคยขาดซักวัน
อาจจะลืมบ้าง เลทบ้าง แต่ไม่มีวันไหนที่ไม่กินเลย
แต่ความอยากหายของเราที่ผ่านมา
มันก็ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะโรคนี้อยู่ดี


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  ยอมรับความจริง


01 มิถุนายน 2555

โลก(ไม่)สวย


พฤหัส ที่ 31 พฤษภา 2555  วันนัด

เป็นวันนัดที่เราเกิดความรู้สึกไม่อยากไปโรงพยาบาลอย่างรุนแรง
ตั้งแต่ลืมตาตื่น แม้กระทั่งระหว่างอาบน้ำแต่งตัว
มีความคิดว่า ไม่ไปได้มั๊ย ผุดออกมาตลอด
แต่ในที่สุดก็ต้องไป เพราะ..
ถ้ารอไปอีกสัปดาห์ ยาที่เหลือจะไม่พอ

ตามความเข้าใจเราคือ ยาโรคซึมเศร้า
มันไม่ได้กินตามอาการ แบบยาแก้ปวด กินเมื่อปวด
แต่ยามันจะทำงานได้ตามหน้าที่ของมัน..เราต้องกินต่อเนื่อง
เราเข้าใจตามนี้นะ ..อาจจะผิดก็ได้
แต่ก็เป็นเหตุที่ทำให้เราต้องไปหาหมอตามนัดให้ได้

อีกเหตุผลนึงก็คือ วันนี้น้องฟ้า น้องที่เราเคยเล่าในblog
ก็ต้องไปหาหมอตามนัดเหมือนกัน
ทำให้เรารู้สึกว่ามีนัด 2 นัดเลย
แล้ววิญญาณความเป็นพี่ก็ทำงานอย่างแข็งขัน
เหมือนเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี "พี่ไม่เบี้ยวนัดคุณหมอน้า"
-"-

น้องมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับนิดหน่อย
ซึ่งตอนนี้อยู่ในความดูแลของคุณหมอแล้ว
และน้องก็นอนหลับได้ เราก็โล่งใจ

อยากให้คนที่อ่าน เห็นว่า
การมาพบคุณหมอที่จิตเวชเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ
ปัญหาเล็กๆน้อยๆอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่โตได้
ถ้าเราปล่อยปละละเลยมันไป
ยิ่งน้องๆในวัยเรียนด้วย
เดี๋ยวมันจะไปกระทบการเรียน ทำให้เครียดไปกันใหญ่

เราไปถึงโรงพยาบาล 9.25 น. เพราะเวลานัดคือ 10.30 น.
เป็นครั้งแรกที่มาหลังคุณหมอ - -"
เดินตามหลังคุณหมอไปติดๆเลย
และมั่นใจว่า น้องฟ้าคงเป็นคิวแรก เพราะเวลานัด 8.30 น.

ชั่งน้ำหนัก ยื่นบัตรนัด วัดความดันอะไรเสร็จก็นั่งรอ
วันนี้คนเยอะมากๆอีกแล้ว เก้าอี้แทบไม่พอนั่ง
รอจนน้องฟ้าเดินออกมา
ก็เลยได้ยืนเม้าส์กันนิดหน่อย ก่อนน้องลงไปรับยา

พอน้องออกไป ความคิดฝ่ายมารเริ่มบังเกิด
อยากจะกลับซะเดี๋ยวนั้นเลย
มันเหนื่อย เบื่อ ที่จะรอ บิ้วท์โลกสวยก็ไม่ไหว
เพราะรอนานจริงๆ จน 11.30 น.
คุณพยาบาลก็เรียกไปรอหน้าห้องตรวจ
ซึ่งมีคนนั่งรออยู่ 4 คน ไม่รวมที่เพิ่งเข้าไปนะ
แล้วหลังจากเราอีก 3 คน

ทั้งเบื่อ ทั้งเซ็ง ทั้งหิว เต็มที่แล้ว
รู้สึกเหมือนลูกโป่งที่กำลังจะแตก
แต่ความคิดอีกส่วนนึงก็คือ
ท่องไว้ๆ คุณหมอก็น่าจะหิวเหมือนเรา
จะบิวท์ว่าคนที่รอก็หิวคงไม่ได้
ก็ถัดจากเราไปเนี่ยะ ญาติไปซื้อข้าวกล่องเซเว่นมาให้
นั่งกินกันหน้าห้องตรวจตรงนั้นเลย เพราะเที่ยงกว่าเข้าไปละ

คนไข้เข้าไปเท่าไหร่ มีคนไข้ใหม่มาเติมท้ายแถวไปเรื่อยๆ
จนถึงขนาดที่ต้องพยายามไม่มอง

ความคิดตอนนั้น อยากจะเข้าไปแล้วบอกคุณหมอว่า
"สั่งยาเลยเถอะค่ะ"
ตั้งใจจะไม่คุยอะไรให้มากความ
นอกเหนือจากเรื่องกินยาแล้วเป็นยังไง
รวมทั้งต้องปรับยาอะไรใหม่รึเปล่า

กะว่า คุณหมอชวนคุยเรื่องอื่นก็จะไม่คุยแล้วล่ะ
อยากกลับให้เร็วที่สุด

แต่..พอพบคุณหมอจริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นไปแบบนั้น


+ + + + + + + + +

อ่านต่อ  --->  คุณหมอของเรา [8th]